สร้างตัวละครให้ดาร์กจนนักอ่านดิ่งตามด้วย The Negative Change Arc ฉบับละเอียด!

สร้างตัวละครให้ดาร์กจนนักอ่านดิ่งตามด้วย
The Negative Change Arc ฉบับละเอียด!

 

ใครที่ไหนอยากสร้างตัวละครเชิงลบบ้าง?

ลองนึกถึงเช็กสเปียร์ ดอสโตเยฟสกี หรือแม้แต่ฟอกเนอร์สิ งานเขียนของนักเขียนเหล่านี้ล้วนมีตัวละครที่ดำมืดและน่าเศร้า เรารู้ว่าทุกคนชอบตอนจบที่มีความสุข แต่ลองมองกลับมาที่ความเป็นจริง ไม่ใช่ว่านิยายทุกเรื่องจะมีตอนจบที่มีความสุขนะ  และสิ่งที่เราต้องการก็มีเพียงแค่ “การเปลี่ยนแปลงเชิงลบของตัวละคร” ที่จะทำให้นักอ่านดิ่งไปกับตอนจบหรือเรื่องราวที่แสนปวดใจ

เครื่องมือที่นำมาฝากน้องๆ วันนี้อย่าง The Negative Change Arc จะไม่ทำให้นักอ่านของรู้สึกอบอุ่นหรือจั๊กจี้หัวใจเด็ดขาด มันเป็นเครื่องมือที่มีความสามารถในการสร้างเรื่องราวที่ทรงพลังและเสียงสะท้อนที่ไม่มีใครเทียบได้  
 

The Negative Change Arc บอกเล่าเรื่องราวของตัวละครที่ลงเอยในสถานที่ที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่เขาเริ่มต้นและอาจฉุดรั้งคนอื่นให้จมดิ่งไปกับเขาได้  

 

The Negative Change Arc
The Negative Change Arc  

 

The Negative Change Arc  

The Negative Change Arc เป็นสิ่งที่เล่นกับความจริงกับคำโกหก (คำเท็จ) ซึ่งเป็นความเชื่อของตัวละครที่อยู่ในเรื่อง รวมถึงความต้องการของตัวละคร แบ่งออกเป็น 3 อย่างคือ

  • The Disillusionment Arc: ตัวละครเอาชนะคำเท็จของพวกเขาที่เชื่อ แต่พบว่าความจริงเป็นเรื่องน่าเศร้า
  • The Fall Arc: ตัวละครยึดติดกับคำโกหกของพวกเขาอย่างสิ้นหวัง แม้จะมีความจริงเชิงบวกอยู่ต่อหน้า แต่พวกเขาก็เลือกคำโกหกนั้น ทำให้ตัวละครเจอกับโศกนาฏกรรมและความเศร้าโศก
  • The Corruption Arc: ตัวละครอาศัยอยู่กับความจริง แต่ท้ายที่สุดก็ปฏิเสธและยอมรับคำโกหก

 

The Negative Change Arc 
The Negative Change Arc 
รูปโดย Joanna Marie จากหนังสือ Creating Character Arcs Workbook
(via helpingwritersbecomeauthors.com)

The Disillusionment Arc  

ตัวละครเชื่อเรื่องเท็จ > เอาชนะความกลัวได้ > ความจริงใหม่น่ากลัวยิ่งกว่า

คำว่า Disillusionment (n.) หมายถึง ความผิดหวังเมื่อบางสิ่งไม่ได้เป็นดังที่คาดไว้ ในหลายๆ แง่มุม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นแง่ลบเลย มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกกับตัวเอก เพราะตัวเอกมีการเติบโตและเข้าใจความจริงมากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าชีวิตของตัวละครจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีจากเหตุการณ์ในเรื่อง แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังดูแย่ลงเพราะตัวละครกำลังเปลี่ยนจากมุมมองเชิงบวกไปเป็นเชิงลบ เนื่องจากความจริงใหม่ของเขาไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง มันเป็นข้อเท็จจริงที่ร้ายกาจ หักมุมไปอีก!

 

องก์ที่ 1 (1%-25% ของเรื่อง)

1% ของเรื่อง : The Hook : เชื่อว่าเรื่องเท็จเป็นเรื่องปกติในโลก

ตัวเอกเชื่อเรื่องเท็จที่เขารับรู้ เขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เชื่อเป็นเรื่องปกติ เขาสบายใจที่จะรับรู้ข้อมูลของเรื่องเท็จนี้ 

12% ของเรื่อง : The Inciting Event : คำใบ้แรกที่บอกว่าเรื่องเท็จไม่ใช่เรื่องจริง

นี่คือเส้นทางสู่การผจญภัย เมื่อตัวเอกเผชิญหน้ากับความขัดแย้งครั้งแรก แถมยังมีการบอกใบ้เล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอกรู้ว่าเรื่องเท็จที่เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนี้อาจไม่ได้เป็นเรื่องจริงเหมือนอย่างที่เขาเชื่อ

25% ของเรื่อง : The First Plot Point : ดื่มด่ำกับความจริงอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้

ตัวเอกต้องเผชิญกับทางเลือกที่เป็นผลสืบเนื่อง ซึ่ง “วิธีการเดิมๆ” ที่เคยทำในอดีตที่ผ่านมาทำให้เขารู้ว่า มันไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพ เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ตัวเอกเข้าสู่จุดที่ไม่มีการหันหลังกลับ เขาถูกบังคับให้เข้าสู่โลกแห่งการผจญภัยของความขัดแย้งในองก์ที่ 2  และเขาต้องเผชิญกับความจริงใหม่ที่น่าเจ็บปวด

 

องก์ที่ 2 (25%-75% ของเรื่อง)

37% ของเรื่อง : The First Pinch Point : บทลงโทษของคนโกหก

ตัวเอกถูก “ลงโทษ” เพราะโกหก ในโลกปกติเขาสามารถใช้คำโกหกเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ แต่ในโลกแห่งการผจญภัย  นี่ไม่ใช่ความคิดที่ได้เรื่องอีกต่อไป ตลอดครึ่งแรกขององก์ที่ 1 เขาพยายามใช้ความคิดที่อิงกับคำเท็จแบบเก่าเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย และตัวเอกจะถูก “ลงโทษ” จากความล้มเหลวจนกว่าเขาจะเริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่ดีขึ้น

50% ของเรื่อง : The Midpoint (Second Plot Point) : ถูกบังคับให้เผชิญกับความจริง แต่ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน

ตัวเอกของเรื่องเผชิญหน้ากับความจริง นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเอกตระหนักถึงความจริงและอำนาจของมันอย่างมีสติ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกหวาดกลัวกับผลกระทบของความจริงใหม่อันดำมืดนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้อีกต่อไป แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับมันอย่างเต็มร้อย หรือยังไม่ยอมจำนนต่อคำเท็จเก่าๆ ที่แสนวิเศษของเขา

62% ของเรื่อง : The Second Pinch Point : หงุดหงิดกับคำเท็จเก่าๆ มากขึ้นและท้อแท้กับความจริงใหม่

ตัวเอกของเรื่องถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับตัวอย่างของคำเท็จที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ กับข้อความเท็จเหล่านั้น เขาเริ่มยอมรับความจริงที่น่ากลัวนี้ได้และรู้สึกท้อแท้กับแง่มุมใหม่ที่ได้รู้มา ถึงอย่างนั้นเขาก็เริ่มได้รับ “รางวัล” จากการใช้ความจริงเพื่อเข้าถึงสิ่งที่เขาต้องการ

 

องก์ที่ 3 (75%-100% ของเรื่อง)

75% ของเรื่อง : The Third Plot Point : ยอมรับว่าคำเท็จที่ปลอบโยนตอนนี้ไม่มีอยู่โดยสิ้นเชิง

ตัวเอกของเรื่องไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าความจริงอันมืดมนไม่มีจริง เขาไม่เพียงต้องยอมรับความจริงใหม่นี้เท่านั้น แต่เขายังต้องยอมรับด้วยว่าคำเท็จเก่าๆ ที่ปลอบประโลมเขาอยู่ตอนนี้ไม่มีอยู่จริง

88% ของเรื่อง : The Climax : ใช้ความจริงใหม่ที่มืดมิดในการเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย

ตัวเอกเข้าสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับตัวร้ายของเรื่อง กระบวนการนี้มีไว้เพื่อตัดสินว่าเขาจะได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ โดยก่อนหรือระหว่างส่วนนี้ เขาต้องยอมรับและใช้ความจริงใหม่อย่างมีสติและชัดเจน  

98% ของเรื่อง : The Climactic Moment : รับทราบความจริงอย่างเต็มที่

ตัวเอกใช้ความจริงที่ได้รั เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของความจริงด้วย มันเขาอาจทำให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ หรือเขาอาจตระหนักว่าเขาจำเป็นต้องเสียสละเพื่อสิ่งที่ดีกว่าของตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงยุติความขัดแย้งระหว่างตัวเองและตัวร้าย แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้สอนเขาเกี่ยวกับ “ตัวเอง” และ “ความขัดแย้ง”

100% ของเรื่อง : The Resolution : ท้อแท้กับความจริงใหม่

ตัวเอกเข้าสู่โลกปกติในรูปแบบที่เขาเป็นคนใหม่ หรือกลับไปสู่โลกปกติแบบเดิมเหมือนที่เคยเป็น แต่เขารบรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว

 

เพื่อให้เห็นภาพของ The Disillusionment Arc มากขึ้น ลองดูตัวอย่างจาก The Great Gatsby

นิค คาร์ราเวย์ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ตัวละครที่ตามหาเจย์ แกสบี้ เพื่อนที่จู่ๆ ก็ร่ำรวยของเขา แต่นิคก็ยังเป็นตัวเอกของนวนิยายคลาสสิกเรื่องนี้ เขาเริ่มต้นเรื่องราวในฐานะชายหนุ่มผู้ไร้เดียงสาและมองโลกในแง่ดีจากมิดเวสต์ คำเท็จที่เขาเชื่อคือ “ผู้คน โดยเฉพาะคนที่ร่ำรวย สวยงามและเป็นที่นิยม มักเป็นอย่างที่พวกเขาดูเหมือนจะเป็น และชีวิตที่ร่ำรวยนั้นคือสุดยอดแห่งความสุข” สิ่งที่นิคต้องการคือ “การเป็นหนึ่งในนั้น” ในขณะที่สิ่งที่เขาต้องการคือการเรียนรู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังอาคารอันแวววาว ชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อของกลุ่มคนรวย  

 

The Fall Arc
The Fall Arc
 รูปโดย Joanna Marie จากหนังสือ Creating Character Arcs Workbook
(via helpingwritersbecomeauthors.com)

The Fall Arc

ตัวละครเชื่อเรื่องโกหก > ยึดมั่นในการโกหก > ปฏิเสธความจริงใหม่ > เชื่อในคำโกหกที่แย่กว่าเดิม

การเปลี่ยนแปลงแบบนี้เหมาะกับเรื่องราวโศกนาฏกรรม ตัวละครเริ่มต้นเช่นเดียวกับ The Disillusionment Arc คือ “ยึดมั่นในคำโกหกแล้ว” แต่ที่แตกต่างคือ The Disillusionment Arc สามารถเอาชนะคำโกหกและยอมรับความจริงได้ ตัวเอกที่อยู่ใน The Fall Arc จะปฏิเสธทุกโอกาสในการยอมรับความจริง และจะจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งบาปของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติตัวเอกจะลากคนอื่นไปพร้อมกับเขาด้วย ที่สำคัญเรื่องราวของตัวเอกจะจบลงด้วยความเสียสติ การผิดศีลธรรม หรือความตาย

 

องก์ที่ 1 (1%-25% ของเรื่อง)

1% ของเรื่อง : The Hook : เชื่อว่าเรื่องเท็จเป็นสิ่งปกติในโลก

ตัวเอกเชื่อเรื่องเท็จที่เขารับรู้ เขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงและสิ่งที่เชื่อเป็นเรื่องปกติ โดยคำเท็จที่เขาเชื่อเป็นสิ่งที่อันตรายหรือทำลายล้างขั้นรุนแรง

12% ของเรื่อง : The Inciting Event : คำใบ้แรก คำโกหกนี้ไม่ได้เป็นเรื่องดีเลย

นี่คือเส้นทางสู่การผจญภัย เมื่อตัวเอกเผชิญหน้ากับความขัดแย้งครั้งแรก แถมยังมีการบอกใบ้เล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอกรู้ว่าเรื่องเท็จที่เชื่ออาจไม่ได้เป็นเรื่องจริงเหมือนอย่างที่เชื่อ และคำเท็จนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อสถานการณ์ปัจจุบันของเธอเท่าไหร่นัก

25% ของเรื่อง : The First Plot Point : คำเท็จไม่ได้เรื่อง ทำให้ก้าวไปสู่ความจริง

ตัวเอกต้องเผชิญกับทางเลือกที่เป็นผลสืบเนื่อง ซึ่ง “วิธีการเดิมๆ” ที่เคยทำในอดีตที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า มันไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ตัวเอกจะต้องเลือกระหว่างคำเท็จแบบเก่ากับความจริงแบบใหม่ เธอจะเข้าสู่จุดที่ไม่มีการหันหลังกลับและถูกบังคับให้เข้าสู่โลกแห่งการผจญภัยของความขัดแย้งในองก์ที่ 2  

 

องก์ที่ 2 (25%-75% ของเรื่อง)

37% ของเรื่อง : The First Pinch Point : พยายามรับรู้ความจริงอย่างไม่เต็มใจ  

ตัวเอกพยายามใช้ความจริงเป็นเครื่องมือในการดึงดูดสิ่งที่เธอต้องการ แต่เธอทำเช่นนั้นด้วยความเข้าใจหรือความกระตือรือร้นที่จำกัด คำเท็จเก่าๆ ไม่ได้ผลกับเธออีกต่อไป เธอพยายามรับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะยังรับความจริงได้ไม่เต็มร้อยก็ตาม

50% ของเรื่อง : The Midpoint (Second Plot Point) : มองเห็นความจริง ปฏิเสธความจริง เลือกคำโกหกที่เลวร้ายกว่า  

ตัวเอกของเรื่องเผชิญหน้ากับความจริงที่เกิดขึ้น เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นพลังและโอกาสของความจริงอย่างมีสติ อย่างไรก็ตาม เธอเห็นว่าต้องมีการเสียสละบางอย่างหากเธอปฏิบัติตามความจริงที่ว่านี้ เธอจึงปฏิเสธความจริงเพราะไม่เต็มใจที่จะเสียสละ และเลือกที่จะยอมรับคำเท็จที่เลวร้ายกว่าเดิมแทน

62% ของเรื่อง : The Second Pinch Point : คำโกหกมีผล แต่เป็นการทำลายล้างเช่นกัน

โดยไม่สนใจถึงผลที่ตามมา ตัวเอกของเรื่องใช้คำเท็จของเธอและพบว่ามันมีประสิทธิภาพในการก้าวไปสู่สิ่งที่เธอต้องการได้ อย่างไรก็ตามยิ่งเธอเข้าใกล้เป้าหมายที่วางแผนไว้มากเท่าไหร่ คำเท็จก็จะยิ่งทำลายทั้งเธอและโลกรอบตัวเธอมากขึ้นเท่านั้น

 

องก์ที่ 3 (75%-100% ของเรื่อง)

75% ของเรื่อง : The Third Plot Point : ล้มเหลวในการได้รับสิ่งที่ต้องการ

ตัวเอกต้องเผชิญกับ “ช่วงเวลาที่ตกต่ำ” ซึ่งเธอประสบกับความล้มเหลวในการได้รับสิ่งที่เธอต้องการ ความล้มเหลวนี้เป็นผลโดยตรงจากความเสียหายที่เกิดจากคำเท็จของเธอในช่วงครึ่งหลังขององก์ที่ 2 แม้ว่าจะมีหลักฐานทั้งหมดที่แสดงถึงพลังทำลายล้างของคำโกหก แต่ตัวเอกก็ยังคงปฏิเสธที่จะกลับใจหรือหันเข้าหาความจริง

88% ของเรื่อง : The Climax : พยายามกอบกู้ความต้องการกลับคืนมา

เมื่อเข้าสู่การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับตัวร้าย ตัวเอกของเรื่องพยายามโกหกเพื่อกอบกู้สิ่งที่เธอต้องการกลับมาให้ได้

98% ของเรื่อง : The Climactic Moment : ทุกอย่างพังพินาศ

คำโกหกทำให้ตัวเอกหมดอำนาจ เขาเกิดความขัดแย้งภายในและภายนอก ตัวเอกไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ หรืออาจได้รับแต่มันไม่มีประโยชน์สำหรับเธอ แน่นอนว่าในช่วงนี้เธอยอมจำนนต่อการทำลายล้างโดยสิ้นเชิง

100% ของเรื่อง : The Resolution : ควันหลง

ตัวเอกต้องเผชิญหน้ากับผลพวงจากการเลือกของเธอ ในที่สุดเธอก็อาจยอมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มันไร้ประโยชน์แล้ว หรือเธออาจถูกปล่อยให้รับมือสุ่มสี่สุ่มห้ากับผลของการเลือกของเธอ พูดง่ายๆ ก็คือก้มหน้ารับกรรมนั่นแหละ จบไม่สวยเลย

 

เพื่อให้เห็นภาพของ The Fall Arc มากขึ้น ลองดูตัวอย่างจาก Wuthering Heights

วัทเตอริง ไฮ้ทส์ นวนิยายของเอมิลี บรองเตเป็นตัวอย่างชั้นดีสำหรับ The Fall Arc ฮีทคลิฟฟ์ ตัวเอกของเรื่องเริ่มเชื่อคำเท็จที่ว่า “เพื่อที่จะได้พบกับความสมบูรณ์หรือความสุขส่วนตัว เขาจะต้องเป็นเจ้าของน้องสาวบุญธรรมอย่างแคธี่ เอิร์นชอว์ เพื่อนในวัยเด็กผู้แสนอ่อนโยนเพียงคนเดียว” แน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องการคือ “แคธี่” เอง แต่สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำคือปล่อยเธอไปและถอยห่างจากความสัมพันธ์ที่ครอบงำและทำลายล้างที่เป็นอันตราย ฝันร้ายของเขาคือวัยเด็กที่เป็นเด็กกำพร้า (และน่าจะเป็นลูกนอกสมรส) ของเขาเอง ซึ่งเขาถูกทุกคนปฏิเสธยกเว้นแคธี่และพ่อของเธอ

 

The Corruption Arc
The Corruption Arc
 รูปโดย Joanna Marie จากหนังสือ Creating Character Arcs Workbook
(via helpingwritersbecomeauthors.com)

The Corruption Arc

ตัวละครเชื่อเรื่องโกหก > ปฏิเสธความจริงใหม่ > ยอมรับคำเท็จ

ตัวละครเริ่มต้นในโลกที่รู้จักและยอมรับความจริงอยู่แล้ว เขามีโอกาสที่จะทำแบบเดียวกันทุกครั้ง แต่ก็ถูกล่อลวงด้วยคำเท็จ แม้ว่าความจริงจะอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม การวางโครงแบบนี้เป็นที่น่าสนใจเนื่องจากตัวละครดีตอนแรกเริ่ม หรืออย่างน้อยก็มีศักยภาพที่ดีในการสร้างความดี แต่ดันทิ้งโอกาสนั้นและเลือกความมืดอย่างมีสติ ในหลายๆ ด้าน The Corruption Arc คล้ายคลึงกับ The Disillusionment Arc

 

องก์ที่ 1 (1%-25% ของเรื่อง)

1% ของเรื่อง : The Hook : เข้าใจความจริง

ตัวเอกอาศัยอยู่ในโลกปกติ เป็นผลให้ตัวเอกเริ่มต้นด้วยความเข้าใจในความจริง

12% ของเรื่อง : The Inciting Event : ถูกยั่วยุด้วยคำเท็จครั้งแรก

นี่คือเส้นทางสู่การผจญภัย เมื่อตัวเอกเผชิญหน้ากับความขัดแย้งครั้งแรก แถมยังมีการบอกใบ้เล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอกรู้ว่า คำเท็จอาจช่วยเขาได้มากกว่าความจริง

25% ของเรื่อง : The First Plot Point : เข้าสู่โลกแห่งการหลอกลวง

ตัวเอกของเรื่องต้องเผชิญกับทางเลือกที่ตามมา ซึ่งเขาถูกล่อลวงให้ออกจากโลกแห่งความจริงที่แสนปลอดภัยขององก์แรก  สู่โลกแห่งการผจญภัยที่อิงตามการหลอกลวงในองก์ที่ 2 โดยไม่ตระหนักถึงอันตราย (หรือเชื่อว่าเขากำลังชั่งน้ำหนักผลที่ตามมา) ตัวละครเอกถูกล่อลวงเข้าสู่จุดที่ไม่มีการหันหลังกลับ ด้วยความคิดที่ว่าเรื่องเท็จที่เขารับรู้จะนำไปสู่สิ่งที่เขาต้องการ

 

องก์ที่ 2 (25%-75% ของเรื่อง)

37% ของเรื่อง : The First Pinch Point : จุดฉีกขาดระหว่างความจริงและความเท็จ

ตัวเอกพบว่าคำเท็จมีประสิทธิภาพในการทำให้เขาเข้าใกล้สิ่งที่ต้องการ แต่เขายอมรับความขัดแย้งภายในเมื่อเขาตระหนักว่าเขากำลังก้าวไปไกลกว่าเดิม ห่างไกลจากความเชื่อมั่นและความเข้าใจในโลกเก่า

50% ของเรื่อง : The Midpoint (Second Plot Point) : ยอมรับคำเท็จและปฏิเสธความจริง

ตัวเอกถูกอำนาจของคำเท็จเข้าครอบงำ เขาตระหนักดีว่าเขาไม่สามารถได้ในสิ่งที่เขาต้องการโดยปราศจากคำเท็จได้ แม้ว่าเขาจะยังไม่เต็มใจที่จะปฏิเสธความจริงอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะยอมรับการโกหกอย่างเต็มที่

62% ของเรื่อง : The Second Pinch Point : ต่อต้านความจริง

ตัวเอกของเรื่อง “ได้รับรางวัล” จากการใช้คำเท็จที่เกิดขึ้นในช่วง Midpoint ตัวเอกจะเริ่มทำตามคำเท็จในการต่อสู้กับตัวร้ายและเข้าถึงสิ่งที่เขาต้องการ หากใช้ความจริงในการช่วยให้ตัวเอกได้ในสิ่งที่เขาอยากได้ เขาจำเป็นต้องเสียสละตามเงื่อนไขของความจริง ดังนั้นเขาจึงเริ่มต่อต้านความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

องก์ที่ 3 (75%-100% ของเรื่อง)

75% ของเรื่อง : The Third Plot Point : ยอมรับคำเท็จอย่างเต็มที่

ตัวเอกปฏิเสธความจริงและยอมรับคำเท็จอย่างเต็มที่ นี่คือ “ช่วงเวลาที่ตกต่ำ” ที่เกิดขึ้นกับโลกรอบตัวเขา ตอนนี้เขาเต็มใจที่จะอดทนต่อผลของการปฏิเสธความจริงเพื่อแลกกับสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นรางวัลของการยอมรับคำเท็จ

88% ของเรื่อง : The Climax : การผลักดันครั้งสุดท้ายเพื่อได้รับสิ่งที่ต้องการ

ตัวเอกเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับตัวร้าย เพื่อตัดสินว่าเขาจะได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ เขาผลักดันไปข้างหน้าอย่างไร้ความปรานีไปยังเป้าหมายที่วางแผนไว้

98% ของเรื่อง : The Climactic Moment : ความล้มเหลวทางศีลธรรม

ตัวเอกใช้คำโกหกและทุกอย่างได้สอนเขาในความพยายามที่จะได้รับสิ่งที่เขาต้องการ เขาอาจได้รับสิ่งที่เขาต้องการและยังคงไม่รู้สึกตัวต่อความชั่วร้ายที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง หรือเขาอาจได้รับสิ่งที่ต้องการก็ต่อเมื่อเขาตระหนักว่ามันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เขาเสียสละไป หรือเขาอาจล้มเหลวในการได้รับสิ่งที่เขาต้องการและถูกทำลายล้างโดยตระหนักว่าการเสียสละของเขาเพื่อการโกหกนั้นไร้ผลสิ้นดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขายุติความขัดแย้งระหว่างตัวเองกับตัวร้าย

100% ของเรื่อง : The Resolution : ควันหลง

ตัวเอกต้องเผชิญหน้ากับผลพวงของการเลือกของเขา เขาอาจหันเหจากคำโกหก ยอมรับความผิดพลาดและยอมรับกับผลที่ตามมา หรือเขาอาจจะปล่อยเบลอแล้วใช้คำโกหกต่อไป

 

เพื่อให้เห็นภาพของ The Corruption Arc มากขึ้น ลองดูตัวอย่างจาก Star Wars, Episodes I-III

การตายของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์อาจเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของ The Corruption Arc อนาคินเริ่มต้นจากการเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและมีความหวัง ซึ่งนำแสงสว่างและความเมตตามาสู่ชีวิตของคนรอบข้าง ความจริงที่เขารู้อยู่แล้วคือ “ความรักทรงพลังกว่าสิ่งใด” แต่เมล็ดพันธุ์แห่งการโกหกก็อยู่ในตัวเขาเช่นกัน สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการปกป้องและช่วยเหลือคนที่เขาห่วงใย (แม่และภรรยาของเขา) แต่อย่างที่โยดาบอกเขา สิ่งที่เขาต้องการคือ“ฝึกตัวเองให้ละทิ้งทุกสิ่งที่คุณกลัวว่าจะสูญเสีย .”

 

The Negative Change Arc ที่สร้างขึ้นมาอย่างดีช่วยให้นักอ่านได้มีการเรียนรู้ผ่านตัวละครเอก โดยตัวเอกจะเปิดเผยความจริงที่น่าสนใจทั้งเกี่ยวกับโลกรอบตัวพวกเขาและเกี่ยวกับตัวเขาเอง The Negative Change Arc มักทำให้คนอ่านรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่มันมีความสำคัญนะ  

ไม่ใช่เรื่องผิดที่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำที่สุดในวรรณกรรมหลายเรื่องจึงเป็นโศกนาฏกรรม

ในฐานะนักอ่าน เรารู้สึกสะท้อนใจกับตัวละครที่ทำตามคำเท็จและยอมแลกเพียงเพื่อสิ่งที่ต้องการ เพราะบ่อยครั้ง มันสะท้อนถึงวัฏจักรที่เราทำในชีวิตของเราเอง อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักเขียน The Negative Change Arc สามารถสะท้อนแง่คิดให้นักอ่าน และนำเสนอความเป็นจริงที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกรอบตัวเรา

 

พี่น้ำผึ้ง :)

 

ขอบคุณแหล่งที่มาจากhttps://www.helpingwritersbecomeauthors.com/https://www.well-storied.com
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น