ลาออกจากงานมาเขียนนิยายได้จริงเหรอ? นั่นสิคะ ทำได้จริงๆ หรือเปล่านะ เคยอ่านความเห็นจากกระทู้นักเขียนเด็กดี ส่วนใหญ่ไม่มีใครแนะนำให้ลาออกมาเขียนนิยายเป็นอาชีพเลยค่ะ ยิ่งเป็นนักเขียนมือใหม่ที่เริ่มต้นจากศูนย์ ถ้าไม่อยากเจอวลียอดฮิตอย่าง “นักเขียนไส้แห้ง” เขาว่ากันว่า... ไม่ควรยึดการเขียนนิยายเป็นอาชีพเด็ดขาด!
แต่ดูเหมือนว่าเส้นทางนักเขียนที่โรยด้วยหนามกุหลาบ จะไม่ได้ทำให้ “คุณอาร์ม” นักอยากเขียนนามปากกา “Whale Ink” รู้สึกหวาดกลัวสักนิดเลยค่ะ แม้ว่าเขาจะเป็นนักเขียนมือใหม่แกะกล่องมากๆ แถมก่อนหน้านี้ยังเคยทำงานเป็นนักวิจัยหลังเรียนจบปริญญาเอก และทำงานเป็นวิศวกรควบคุมคุณภาพมาแล้วหลายปี แต่หลังจากที่เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง คือ การเป็นนักเขียน
เขาก็ได้ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อกลับไปอยู่บ้านกับครอบครัวที่จังหวัดขอนแก่น และมุ่งมั่นเขียนนิยายแฟนตาซีเรื่อง Path of Apocalypse เส้นทางวันสิ้นโลก เป็นประจำทุกวัน จนมีนิยายมากกว่า 100 ตอน และสามารถเขียนนิยายจบได้ถึง 2 ภาค ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น!
เขาคิดจะเขียนนิยายเป็นอาชีพจริงๆ เหรอ?
จริงค่ะ คุณอาร์มเล่าให้เราฟังว่า ตอนที่บอกกับคนรอบข้างว่าจะเขียนนิยาย ทุกคนต่างมีน้ำเสียงไปในทำนองเดียวกันว่า “จะเป็นนักเขียนจริงๆ เหรอ” ตอนนั้นคุณอาร์มเลยอยากพิสูจน์ตัวเอง และพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นว่าการเขียนนิยายสามารถเป็นอาชีพได้จริงๆ แค่มีวินัย และอัปนิยายอย่างสม่ำเสมอ
ดังนั้น หลังจากที่คุณอาร์มเขียนนิยายและอัปนิยายทุกวัน จนสามารถเขียนนิยายจบภาคแรกได้ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือน เขาก็ได้ตัดสินใจลองขายนิยายบนเว็บเด็กดีเป็นครั้งแรก เพื่อพิสูจน์ว่าการเขียนนิยายออนไลน์สามารถสร้างรายได้ได้จริงๆ ซึ่งผลตอบรับจากนักอ่านที่เข้ามาสนับสนุนนิยายก็เกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้มากเลยค่ะ
ถึงแม้ว่าตอนนี้ เราจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่านักเขียนมือใหม่คนนี้จะสามารถเขียนนิยายเป็นอาชีพได้จริงไหม แต่ความมุ่งมั่นและความพยายามของ Whale Ink ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นแรงบันดาลใจดีๆ สำหรับนักอยากเขียนทุกคนได้แน่นอนค่ะ
ใครที่เคยฝันอยากเป็นนักเขียน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ หรือลองทำแล้วหมดไฟกันไปซะก่อน ต้องไม่พลาดเรื่องราวในบทความนี้เลยค่ะ เพราะนิยายเรื่องแรกของ Whale Ink ไม่ใช่การลงมือเขียนนิยายทันที แต่มาจากการเริ่มต้นศึกษาว่าตัวเองชอบอะไร ศึกษาว่าการเขียนนิยายเป็นแบบไหน แล้วถ้าอยากมาเขียนนิยายเต็มตัวจะต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นอาชีพที่มั่นคงได้
ทั้งหมดนี้ มีคำตอบจาก Whale Ink ในบทความนี้ค่ะ

เรียนจบปริญญาเอกมาเขียนนิยาย ไม่ใช่เรื่องแปลก
“สวัสดีครับอาร์ม นรรัตน์ ครับ เพื่อนๆ เรียกว่า ปลาวาฬ ก็ได้ครับ มีนามปากกาว่า Whale Ink แล้วก็ตอนนี้เขียนเรื่อง Path of Apocalypse เส้นทางวันสิ้นโลก อยู่ครับ ก่อนหน้านี้ทำงานมาก่อนครับ ประมาณ 3 ปีกว่าๆ เป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอกมา 2 ปีแล้วก็เป็นวิศวกรควบคุมคุณภาพอีก 1 ปีครับ”
“ผมเรียนเกี่ยวกับวัสดุศาสตร์มา ตอนนั้นเราชอบเซรามิก เราก็เลือกอะไรที่เราชอบนั่นแหละ แล้วก็พอดีมีข้อมูลจากคุณพ่อที่เป็นอาจารย์มหา’ลัย เขาก็พาไปเที่ยวโรงงาน ดูเซรามิกอะไรพวกนี้ ก็เลยตัดสินใจเรียนวัสดุศาสตร์ ตอนนั้นก็ชอบอยู่นะ แล้วก็มีโอกาสได้โทเอกไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ก็เลยเริ่มถลำลึกแล้วครับ คือไม่คิดอะไรมาก ได้ก็ไปเรียนต่อ ไม่ได้ก็ทำงานครับ ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีหัวคิดเท่าไหร่ครับ (หัวเราะ)”
“คือเรียนจบแล้วก็มันมีทางเลือก 2 ทางนะ ก็คือทำงานที่อาจารย์แนะนำ กับกลับมาที่ไทย ผมเนี่ยห่างหายจากประเทศบ้านเกิดมานานก็เลยตัดสินใจกลับไทยครับ แต่พอทำงานไปสักพัก สุขภาพแย่ลง มีเวลาให้ตัวเองน้อยลง แล้วก็เรื่องกระบวนการหลายๆ อย่างที่เราทำในชีวิตประจำวัน มันเริ่มมีผลกระทบ ผมก็เริ่มหาแนวทางอื่นแล้วว่าผมควรจะทำอะไรบ้าง”
“แล้วช่วงนั้น เราไปฟัง Audio Book มา แล้วก็คิดว่างานที่เราทำแล้วมีความสุขมันน่าจะเป็นงานที่เราทำได้นานๆ มากกว่าที่จะไปทำงานตามระบบที่สังคมหรือเศรษฐกิจเขาวางเอาไว้ อย่างเช่น เป็นวิศวกรต่อ ไปเป็นอาจารย์ อะไรแบบนี้”
“คือคนจบเอกมาอ่ะครับ จะดูเหมือนว่ามีตัวเลือกมากนะ แต่ว่าจริงๆ แล้วอ่ะ ตัวเลือกของเขามีน้อยเพราะว่าค่าจ้างมันสูง แล้วก็แต่ละที่เนี่ยก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน คนที่เรียนต่อมาสูงเนี่ย เวลาจะทำให้เรียนจบออกมาให้ตรงจุดกับงานที่ได้ มันก็จะน้อยลงไปด้วย ก็เลยคิดว่าออกมาทำอะไรที่ตัวเองชอบดีกว่า ก็พยายามค้นหาตัวเอง หาวิธีการเรียนรู้ หรือว่าศึกษาว่าตัวเองชอบอะไรก็เลยมาลองจับนิยายดูครับ”
ลาออกมาเขียนนิยาย ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ผมว่ามันเป็นแพชชั่นอย่างหนึ่งนะ พอดีไปอ่านหนังสือมา ชื่อหนังสือมันอาจจะหยาบคายนิดหนึ่งของคุณ Mark Manson เป็นหนังสือชื่อ The subtle Art of not giving a f*** ก็คือ เขาใช้ชีวิตแบบช่างแ*** เป็นแนวความคิดอ่ะครับ ยกตัวอย่างคนที่ทำงานมาทั้งชีวิตแต่ว่าไม่มีความสุขเลย แล้วพอมาเกษียณเนี่ย ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ เคว้งคว้าง หาตัวเองไม่เจอ เราก็เลยพยายามศึกษาว่าตัวเองชอบอะไร เราก็ไม่อยากมีอนาคตแบบนั้นอ่ะครับ คือแบบทำงานไปเรื่อยๆ แล้วก็ชีวิตไม่มีความสุข เป็นอะไรที่แย่มากๆ ก็เลยไม่อยากทำ”
“แล้วก่อนที่เราจะหาแนวทางว่าจะมาเป็นนักเขียนเนี่ย ผมก็ลองคิดหลายๆ อย่างนะครับ ทั้งออกไปอยู่บ้าน คือที่บ้านมีสวนครับ ก็เลยคิดไปว่าปลูกต้นไม้ดีไหม หรือว่ากลับไปอยู่ตรงนู้นตรงนี้ ก็จะมีแนวคิดที่เริ่มประเมินว่าตัวเองว่ามีอะไรอยู่ในชีวิตบ้าง แล้วก็แนวทางที่เราใช้ชีวิตเนี่ย ให้พยายามคิดว่ายังมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ที่บ้านของเรา มีบ้าน มีที่ดิน หรือว่ามีพ่อแม่ให้กลับไปดูแลไหม ก็พยายามเอาข้อมูลทั้งหมดมาคิดในหัว พยายามประเมินว่า เฮ้ย ทางเป็นไปได้ที่เราพอจะมีความสุขมันอยู่ตรงไหน”
“ทีนี้พอเราเจอแล้วก็ลองทำดู อย่างผมเนี่ยก็มี 2 ทางใช่ไหม จะทำสวนหรือว่าจะเขียนนิยาย ทีนี้ช่วงโควิดมันเป็นโอกาสเข้ามาพอดี คือจะบอกว่าเลือกทางนี้โดยตรง แบบตัดสินใจมาทางนี้เลยก็ไม่ค่อยถูก เพราะว่ามันเป็นภาวะเศรษฐกิจอะไรอย่างนี้ด้วย ก็เพราะมีโอกาสเนี่ยก็เลยตัดสินใจมาเขียนนิยายครับ”
“ตอนนั้นเรามีเงินเก็บอยู่นิดหนึ่งด้วย ก็เลยไม่ซีเรียสอะไรครับ เงินเก็บก็ไม่ได้มากหรอกนะ แต่เราคิดว่า ถ้ารอไป ต้องรออีกเท่าไหร่ เริ่มลอง(เขียนนิยาย)ดูสักที มันก็ทำได้ครับ”
เริ่มเขียนนิยายเรื่องแรก ไม่ใช่เรื่องยาก
“เรื่อง Path of Apocalypse เส้นทางวันสิ้นโลก เป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังครับ เคยนึกอยากลองเขียนมานานแล้วครับ ตั้งแต่เรียนอยู่เลยนะ ก็ลองเขียนไอเดียไว้เยอะแยะแล้วก็ไม่ได้เริ่มทำสักที แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่อัปทุกวันจนเป็นร้อยตอนเลยครับ”
“ตอนนั้น ผมวางพล็อตใช้เวลา 2-3 สัปดาห์เลยครับ ผมศึกษาก่อนนะว่าเรื่องราวการสร้างเรื่องมันควรจะเป็นยังไง ในอินเตอร์เน็ตมีเยอะแยะว่าวิธีเขียนนิยายเป็นยังไง ก็ไปลองศึกษาดู เริ่มต้นเรื่อง จุดเปลี่ยน จุดไคลแม็กซ์ มันมันมีวิธีเขียนอยู่ครับ ก็มีหลายรูปแบบนะ เราก็แค่เลือกสิ่งที่เราชอบมาแล้วก็มาลองวางโครงเรื่องดูครับ”
“คือผมเนี่ยจะเขียนแบบที่ตัวเองอยากอ่านนะ แต่ว่าคนมันมี 2 แบบใช่ไหม เขียนที่เราอยากอ่าน กับเขียนที่คนอื่นอยากอ่านใช่ไหม ผมก็คิดว่าถ้าเราเขียนแล้วเราไม่อยากอ่าน เราจะเขียนต่อไปได้ยังไงครับ เพราะงั้นเริ่มแรกสร้างสกิลการเขียนเนี่ย เราก็ควรเขียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองอยากอ่านมากกว่า”
“ฟีดแบ็กโดยรวม คิดว่าค่อนข้างดีนะ เคยขึ้นไปถึงท็อปนิยาย 20 มั้งนะ คนติดตามก็มีมาเรื่อยๆ ครับ มาเรื่อยๆ แล้วก็ยอดวิวก็ขึ้นเรื่อยๆ ครับ พอเราอัปนิยายทุกวัน คนอ่านก็จะแวะเข้ามาอ่านอยู่แล้วครับ แล้วก็มีนักอ่านขาประจำที่มาช่วยดูคำผิดให้ด้วยครับ”

เปลี่ยนจินตนาการเป็นรายได้ง่ายๆ แค่ต้องมีวินัย
“คือตอนนั้นผมบอกทุกคนที่รู้จักว่า ผมจะเขียนนิยายนะ แล้วมันจะมีโมเมนต์ที่คนสงสัยว่า เฮ้ย เป็นนักเขียนจริงหรอ จะดีเหรอ รุ่นพี่ก็จะประมาณว่า ลองหางานทำดูไหม ส่วนที่บ้านเนี่ยก็จะบอกว่า เป็นนักเขียนเหรอ เอาจริงเหรอ ก็คือมีคำถามหลายๆ คำถาม”
“พอมาถึงจุดหนึ่ง ตอนนั้นเราเห็นว่า ตัวเองเริ่มอัปนิยายเป็นวินัยละ เราทำอย่างนี้ได้แล้ว ลองดูซิว่าไอ้ที่เราทำมา ที่เราทุ่มเทมา มันจะเปลี่ยนเป็นเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ได้จริงๆ หรือเปล่า ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจกดขายไปครับ ก็สักแป๊บนึงก็มีคนมาซื้อนะ ก็ดีใจเหมือนกัน (หัวเราะ)”
“ตอนนั้นอยากพิสูจน์ตัวเองมากเลยครับ เรื่องแรกก็โยนหินถามทาง คือประมาณว่าลองเสี่ยงดวงดูหน่อยละกัน ผมคิดว่าเวลาเราทำงานอะไรก็แล้วแต่นะ ถ้าเรามีวินัยมากพอ แล้วเราควบคุมตัวเองได้ยังไงมันก็ทำได้ครับ”
“ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะมีคนหลุดเข้ามาซื้อบ้าง ก็ลุ้นๆ เรื่อยๆ แต่ละวันก็เช็คยอดทำสถิติไป รายได้ก็พอใช้จ่ายอยู่นะ ส่วนที่เหลือก็มาลงทุน เรียนรู้ต้นไม้อะไรไป ตอนนี้ก็พยายามรักษาวินัยไปเรื่อยๆ แล้วก็คาดหวังว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น หรือว่าเพียงพอแต่ละเดือนครับ ก็เป็นเหมือนช่วงเทิร์นโปรนั่นแหละ”

เขียนนิยายเป็นอาชีพ ทำได้แน่ๆ
“การเขียนนิยายเป็นอาชีพได้ครับ ผมว่าอย่างที่พูดแหละ คือมีวินัย รักษาวินัยในตัวเองให้ได้ แล้วก็มี แพชชั่นในการทำงาน คอยพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ยังไงก็เป็นอาชีพได้ครับ”
“แต่ผมว่าของแบบนี้มันต้องค่อยๆ เก็บสะสมไปครับ อย่างบางทีผมเขียนเรื่องแรกอย่างนี้ ฐานคนอ่านจะน้อยกว่าคนที่เขียนมาแล้ว 5 ปี จากที่คอยสังเกตนะครับ นักเขียนที่ติดท็อปเยอะๆ เนี่ยคือเขียนมาหลายเรื่องแล้ว แล้วก็มีแฟนคลับตามมาเรื่อยๆ ถ้าเราอยากเขียนนิยายเป็นอาชีพ เราก็ต้องทำเวลา อัปเลเวลตัวเองไปเรื่อยๆ ครับ ไม่มีอะไรเป็นของดังข้ามคืนหรอก เชื่อผม”
“คือมีคนเคยบอกครับว่าไอ้ที่ดังข้ามคืนเลยเนี่ย มันไม่จริงหรอก คือเราต้องค่อยๆ เก็บค่อยๆ สร้างสกิล มาเรื่อยๆ แล้วพอถึงจุดหนึ่งอ่ะมันก็จะขึ้นมาเอง แต่ว่าที่นี้อยู่ที่ว่าแพชชั่นของคุณ วิธีการพัฒนาตัวเองคุณน่ะมันเพียงพอหรือเปล่า แล้วก็อยู่ดีๆ อยากจะลาออกมาเขียนนิยายอ่ะ ผมไม่แนะนำนะครับ คือให้วางแผนตัวเองให้ดีก่อนนะครับว่า ต่อไปเราจะต้องทำยังไงบ้าง การเขียนนิยายเป็นแพชชั่นของเราจริงๆ หรือเปล่า ก็ต้องคิดดูให้ดีนะครับ”
“สำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียนนะ ลองคิดดูดีๆ ว่ามันเป็นฝันของเราจริงหรือเปล่า แล้วถ้ามันป็นความฝันของเรา ถ้าไม่เริ่มเขียนนิยายตอนนี้เนี่ย จะเริ่มตอนไหน ถูกไหม ก็เริ่มได้แล้วครับ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องรออะไรมาก เขียนเลย”
เชื่อว่าใครก็ตามที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ น่าจะได้คำตอบกันบ้างแล้วว่า นักเขียนปริญญาเอกคนนี้สามารถลาออกจากงานมาเขียนนิยายเป็นอาชีพได้จริงไหม แล้วถ้าเราอยากลาออกมาเขียนนิยายบ้างจะต้องทำอย่างไรบ้าง ให้เรื่องราวของนักเขียนหนุ่มคนนี้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการตัดสินใจได้ค่ะ
สำหรับพี่แนนนี่เพนเชื่อมั่นว่าคุณอาร์มทำได้แน่นอนค่ะ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเพิ่งเริ่มเขียนนิยายได้ไม่นาน แต่จากความมุ่งมั่นและความพยายามที่เขาทำผ่านการอัปนิยายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พี่เชื่อว่านักเขียนนามปากกา Whale Ink จะต้องประสบความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียนได้แน่นอน
ใครที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียน พี่แนนนี่เพนขอส่งต่อเรื่องราวของ Whale Ink ไปเป็นแรงบันดาลใจดีๆ ให้นักอยากเขียนทุกคน ได้เริ่มลงมือเขียนนิยายกันตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ ^^
พี่แนนนี่เพน
3 ความคิดเห็น
สุดยอดครับ
ผมก็เห็นคุณก็พยายามอยู่ เรื่องขงเบ้ง สู้ๆเข้านะ
เป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากเลยค่ะ
อ่านแล้วไฟเริ่มกลับมา พอมองออกแล้วครับว่าตัวเองทำอะไรหล่นหายไปกลางทาง ขอบคุณทั้งคุณแนนนี่เพนและคุณปลาวาฬครับ