
- แนน เจ้าของนามปากกา ม่านหลังจันทร์ นางเอกสายลุย และกัญกาล คือนักอ่านสาวที่ผันตัวมาเขียนนิยายออนไลน์กว่า 6 ปีแล้ว
- ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เธอเขียนนิยายมาแล้วกว่า 24 เรื่อง และมีผลงานนิยายติดท็อปมากมาย เช่น บุตรอนุ โกงชะตามาเป็นเศรษฐี และนิยายเรื่องล่าสุดอย่าง แม่เลี้ยง ก็กำลังติดท็อปอันดับ 1 นิยายของนิยายทุกหมวด (ข้อมูลวันที่ 7 ตุลาคม 2568)
- แนนเริ่มต้นเขียนนิยายจากศูนย์ เริ่มจากเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก และต่อยอดมาเป็นรายได้ เธอพัฒนาตัวเองและลงนิยายอย่างสม่ำเสมอ จากรายได้หลักพันต่อเดือนก็พุ่งขึ้นเป็นหลักแสนถึงครึ่งล้านได้ในเวลาไม่นาน
- ปัจจุบัน แนนตั้งใจเขียนนิยายให้ได้วันละ 1 ตอน และออกผลงานให้ได้ 3 เรื่องต่อปี เธอบอกว่าอาชีพนักเขียนคืออาชีพหลัก ส่วนงานประจำเป็นอาชีพเสริม
*****
สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน วันนี้เราพาทุกคนมาพบปะพูดคุยกับ “ม่านหลังจันทร์” นักเขียนขวัญใจนักอ่านที่หลายคนน่าจะคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอมีผลงงานออกมาอย่างต่อเนื่องมากถึง 24 เรื่อง แถมยังมีหลายเรื่องที่ฮิตมากๆ จนขึ้นไปติดท็อปอันดับ 1 ของนิยายทุกหมวดในเว็บเด็กดีอีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เราเคยชวน “แนน” เจ้าของนามปากกา ม่านหลังจันทร์ นางเอกสายลุย และกัญกาล มาพูดคุยถึงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางนักเขียนออนไลน์ ที่เริ่มจากความรักในการอ่านนิยาย จนกลายมาเป็นนักเขียนยอดวิวหลักล้านคนหนึ่งของเว็บเด็กดี (อ่านบทความ ม่านหลังจันทร์ นัก (อยาก) เขียนที่เริ่มต้นจากคำติและด่าสู่นิยายที่มียอดวิวหลักล้าน!)
หกปีผ่านไป วันนี้เรากลับมาพบเธออีกครั้ง เพื่ออัปเดตชีวิตและผลงานในช่วงที่ผ่านมา ว่าตอนนี้เธอเรียนจบปริญญาโทหรือยัง เธอยังทำงานประจำไปด้วย เขียนนิยายไปด้วยอยู่ไหม และเธอมีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เขียนนิยายออกมาได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี จนสามารถส่งผลงานอย่าง บุตรอนุ และ แม่เลี้ยง ขึ้นไปครองอันดับหนึ่งของทุกหมวดได้ถึงสองเรื่องติด!
เตรียมไปฟังคำตอบจากม่านหลังจันทร์กันค่ะ ทั้งแรงบันดาลใจ วิธีคิด และเคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จที่เธอพร้อมนำมาเล่าสู่กันฟังแบบหมดเปลือก!
เริ่มเขียนนิยายจากศูนย์
สู่นิยาย 24 เรื่องใน 6 ปี!
สวัสดีค่ะแนนนะคะ หรือที่รู้จักกันภายใต้นามปากกา ม่านหลังจันทร์ นางเอกสายลุย และกัญกาล ค่ะ ตอนนี้กำลังเขียนนิยาย(น่าจะเป็น)เรื่องสุดท้ายของเซตตัวแม่ ชื่อเรื่องว่า แม่บุญธรรม ภายใต้นามปากกา ม่านหลังจันทร์ค่ะ
ปัจจุบันก็เรียนจบปริญญาโทแล้วค่ะ แต่ยังทำงานประจำและแต่งนิยายเหมือนเดิม ตอนนี้เขียนนิยายมา 6 ปีแล้วค่ะ มีผลงานที่วางแผงให้ได้อ่านกันแล้ว 24 เรื่อง แบ่งเป็น นามปากกา ม่านหลังจันทร์ 16 เรื่อง นามเอกสายลุย 5 เรื่อง และกัญกาล 2 เรื่อง ค่ะ
ม่านหลังจันทร์นี่เป็นนามปากกาหลักเลยค่ะ ส่วนนิยายจีนโบราณที่มีเนื้อหาค่อนข้างแรงจะใช้นามปากกา นางเอกสายลุย และนิยายแนวปัจจุบันหมวดรักหวานแหววหรือซึ้งกินใจจะใช้นามปากกา กัญกาล ค่ะ ที่แยกนามปากกาอย่างชัดเจนเพื่อให้นักอ่านเข้าใจบริบทหรือแนวทางของนิยายได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ดูจากนามปากกาค่ะ
ถ้าถามว่ากังวลไหมเวลาเปิดนามปากกาใหม่ คำตอบคือไม่ค่ะ แต่ถ้าถามว่าตื่นเต้นไหมบอกเลยว่าทุกครั้งเวลาเปิดเรื่องใหม่จะตื่นเต้นเสมอ เพราะถึงแม้ว่าเราจะเปิดนิยายภายใต้นามปากกาเก่าก็ใช่ว่าจะมียอดอ่านหรือกระแสตอบรับที่ดีจากนักอ่านไปซะทุกเรื่อง มันน่าจะขึ้นอยู่กับเนื้อหาในนิยายของเรามากกว่าว่าตรงใจนักอ่านมากขนาดไหน
ฟีดแบ็กก็ดีบ้าง แย่บ้าง แล้วแต่เรื่องค่ะ ส่วนตัวคิดว่ากระแสตอบรับจากนักอ่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับนามปากกาไปเสียทั้งหมด อาจปฎิเสธไม่ได้ว่านามปากกามีส่วนในการดึงดูดนักอ่านให้เข้ามาอ่านนิยาย แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอกค่ะ คนอ่านเขาอ่านที่เนื้อหาของนิยาย เขาไม่ได้อ่านแค่นามปากกา ดังนั้นถ้านามปากกาดี นามปากกาดัง แต่เนื้อหานิยายไม่ถูกใจ ท้ายที่สุดแล้วกระแสตอบรับก็อาจน้อย
ยกตัวอย่างจากผลงานตัวเองเลยค่ะ นามปากกากัญกาล ออกนิยายแนวปัจจุบันเรื่องแรกคือ โกงชะตามาเป็นเศรษฐี จะบอกว่ากระแสตอบรับดีมาก แบบมาก ๆ ไม่คิดว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดนี้ แต่ต่อมาพอออกเรื่อง คุณท่านมันร้าย กระแสตอบรับกลับมีคนอ่านไม่มากนัก ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเรื่องแรกด้วยซ้ำ ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเนื้อหานิยายที่ตรงใจ สำนวนที่ลื่นไหลมีผลกับกระแสของนักอ่านมากกว่าจะมองแค่ที่นามปากกาเพียงอย่างเดียวค่ะ
ส่วนเรื่องของนักอ่านที่ติดตามผลงานนั้น หลังจากที่เปลี่ยนแนวของนิยายก็มีนักอ่านหน้าใหม่มาติดตามผลงานเพิ่มขึ้นพอสมควร ส่วนนักอ่านที่อ่านนิยายของเราเป็นประจำอยู่แล้วก็ยังติดตามผลงานอย่างเหนียวแน่น ก็ต้องขอบคุณนักอ่านทุกคนมากที่สนับสนุนผลงานค่ะ

โปรโมตนิยายยังไงให้ปัง
มีนิยายฮิตติดอันดับท็อป
ไม่รู้ว่าจะเรียกวิธีการโปรโมตได้ไหม แต่มันเป็นกระบวนการคิดของเรามากกว่าว่า นิยายจะมีกระแสตอบรับได้ก็ต่อเมื่อมีคนอ่าน ม่านหลังจันทร์เติบโตมาได้ด้วยการสนับสนุนของนักอ่าน ซึ่งนักอ่านก็มีหลายรูปแบบ มีทั้งสายที่พร้อมเปย์ มีทั้งสายที่มีทุนทรัพย์จำกัด รวมไปถึงไม่มีทุนทรัพย์ที่จะใช้ไปกับการอ่าน ซึ่งเมื่อมองถึงรูปแบบของนักอ่านแล้ว เราเลยวางแผนให้กับนักอ่านทั้งสามแบบได้เข้าถึงนิยายของเรา
นิยายของม่านหลังจันทร์แจ้งเกิดที่เว็บเด็กดีและมีนักอ่านที่ติดตามในเว็บนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นนิยายของเราเลยลงที่เว็บเด็กดีเป็นที่แรกและเป็นที่หลัก
ซึ่งลักษณะหรือรูปแบบการขายที่เด็กดีมีก็สอดคล้องกับแนวทางของเราพอดี โดยวิธีการลงนิยายแบบรายตอนของเราคือจะลง 50% แรกของเรื่องให้อ่านฟรีก่อน หลังจากนั้นก็จะลงตอนที่เหลือให้อ่านฟรีอย่างน้อย 24 ชั่วโมงในเนื้อหาช่วงครึ่งหลังก่อนติดเหรียญถาวร ซึ่งช่วงนี้จะเป็นช่วงที่อีบุ๊กจะออกมาแล้ว ถ้านักอ่านคนไหนอยากอ่านแบบต่อเนื่องก็สามารถไปเลือกซื้ออีบุ๊กได้เลย แต่ถ้าใครไม่อยากซื้อก็สามารถติดตามรายตอนได้เพราะเราจะอัปเดตทุกวันจนกระทั่งจบเรื่อง แล้วถึงจะกลับไปติดเหรียญเนื้อหา 50% ในตอนแรกที่เปิดให้อ่านฟรีไว้ จนเหลือแค่ช่วงตัวอย่างประมาณ 10 ตอน
ซึ่งโดยรวมแล้วราคานิยายแบบรายตอนจะถูกกว่าแบบอีบุ๊ก แต่จะใช้ระยะเวลาในการอ่านมากกว่า รวมไปถึงนักอ่านที่รออ่านฟรีก็จะสามารถอ่านฟรีได้ แต่แค่ในระยะเวลาที่จำกัด หากต้องการวนกลับมาอ่านอีกครั้งอาจเลือกซื้อแค่บางตอนที่พลาดช่วงเวลาอ่านฟรีไป แบบนี้จะช่วยประหยัดงบในการอ่านนิยายได้
วิธีการลงผลงานของเรานี้จะทำให้นักอ่านทั้งสามแบบของเด็กดีสามารถเข้าถึงผลงานของเราได้ทุกคน เพียงแต่อาจใช้ระยะเวลาในการอ่านที่แตกต่างกัน ซึ่งก่อนจะทำการขายหรือติดเหรียญหรือวางขายอีบุ๊กเราจะมีประกาศแจ้งให้ทราบเพื่อความชัดเจน ให้นักอ่านได้เข้าใจตรงกันไม่สับสน การทำแบบนี้ก็จะทำให้นักอ่านสามารถเลือกรูปแบบการเข้าถึงนิยายของเราได้ด้วยตนเอง

จากเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก
สู่รายได้หลักแสนต่อเดือน!
รายได้ต่อเดือนต่ำสุดที่เคยได้คือหลักพัน มากที่สุดคือหลักแสนค่ะ ครึ่งล้านก็เคยได้มาแล้ว
เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งคือเริ่มเขียนนิยายและเริ่มวางขายได้ถูกที่ถูกเวลา เปิดขายครั้งแรกก็ได้เงินหลักพัน แต่เราเพิ่งเข้าใจว่าการขายดีในครั้งแรกของเรามันไม่ได้การันตีว่าเราจะได้เงินจำนวนมากเสมอไป เพราะนิยายบางเรื่องก็ไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีนัก
แต่ถ้าเราเริ่มเข้าใจนักอ่านมากขึ้น เริ่มจับกระแสของนักอ่านได้ ถึงตอนนั้นแม้ว่ารายได้จะไม่แน่นอนในทุกเดือน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราสามารถใช้เลี้ยงชีพได้อย่างสบายๆ ค่ะ ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่างานเขียนของเราที่วางขายจะเป็น Passive Income ในอนาคต ดังนั้นการลงทุนลงแรงไปกับงานเขียนจะคุ้มค่าแน่นอนค่ะ
เชื่อไหมว่ารายได้จากการเป็นนักเขียนของเราเยอะกว่ารายได้จากงานประจำอีกถ้าเทียบแบบรายปี แต่ แต่ แต่ ถ้าเทียบแบบรายเดือนบางครั้งมันก็น้อยกว่าบางครั้งก็มากกว่าหลายเท่าตัวนะ ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ว่าเราได้วางขายนิยายไหม นิยายที่วางขายขายดีไหม นักอ่านเลือกอ่านนิยายของเราไหม
ดังนั้นถ้าจะถามว่าการเขียนนิยายสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้ไหม คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า มีวินัยในการลงนิยายไหม มีความรับผิดชอบแต่งนิยายให้จบเรื่องได้หรือเปล่า กระแสตอบรับของนิยายที่เราเขียนเป็นยังไงบ้าง การจะถามว่าสามารถทำอาชีพนักเขียนได้ไหม ไม่มีใครตอบคุณได้นอกจากตัวคุณเอง
สำหรับเราแล้วตอนนี้อาชีพนักเขียนคืออาชีพหลัก ส่วนงานประจำเป็นอาชีพเสริมค่ะ

เบื้องหลังความสำเร็จคือ “วินัย”
เขียนให้ได้วันละตอน ตั้งเป้า 3 เรื่อง/ปี
จริงๆ ชีวิตประจำวันไม่ค่อยแน่นอนค่ะ แค่จะพยายามแต่งนิยายให้ได้วันละหนึ่งตอนเท่านั้น วันไหนถ้าคิดไม่ออกจริงๆ ก็จะไม่ฝืน แต่ถ้าเปิดเรื่องแล้วหนึ่งอาทิตย์ต้องได้อย่างน้อยห้าตอนเป็นขั้นต่ำนี่เป็นสิ่งที่บังคับตัวเองให้ทำให้ได้ ถ้าบางวันความคิดมันไหลตามเรื่องเรื่อง วันนั้นก็อาจแต่งได้สามถึงห้าตอนเลยด้วยซ้ำ วันที่เหลือในอาทิตย์นั้นก็จะสบายหน่อยแต่งเพิ่มก็ได้ หรือจะนอนดูบรรดาท่านอ๋อง ท่านโหว จอมมารในซีรี่ย์ก็ได้ค่ะ
ส่วนตัววางแผนไว้ว่า 1 ปีออกผลงานอย่างน้อย 3 เรื่อง แปลว่าใน 4 เดือนต้องออกผลงานอย่างน้อยหนึ่งเล่มเป็นขั้นต่ำค่ะ ที่สำคัญคือการจะลงนิยายเรื่องหนึ่งให้นักอ่านได้อ่านอย่างน้อยเลยคือจะต้องมีเนื้อหามากกว่า 80% แล้วในมือค่ะ เพื่อให้ลงนิยายได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วงขาดตอน คนอ่านก็จะไม่ต้องรอนานมากทำให้ขาดอรรถรสในการอ่านและอาจทิ้งนิยายเรื่องนั้นไป
ที่สำคัญคือจองคิวของนักพิสูจน์อักษรเพื่อกดดันตัวเองให้ส่งงานตามเดดไลน์ ถ้าใครเคยทำงานกับเราจะรู้ว่าเราค่อนข้างตรงต่อเวลามาก ถ้าไม่ได้จำเป็นหรือไม่ได้มีเหตุขัดข้องจริงๆ จะไม่ล่าช้าไปกว่าที่ได้แจ้งเอาไว้ ดังนั้นเมื่อมีเส้นตายกำหนดชัดเจนเราจะกดดันตัวเองได้และจะสามารถเขียนงานจนจบได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้แน่นอนค่ะ

จบ “บุตรอนุ” นิยายท็อป 1
เสิร์ฟนิยายเซ็ต “ตัวแม่” ชิงท็อปต่อ
จริงๆ ตั้งแต่ก่อนนิยายเรื่อง บุตรอนุ จะออกสู่สายตาของผู้อ่าน นิยายเรื่อง แม่เลี้ยง ก็ถูกแพลนเอาไว้แล้วว่าจะเริ่มมีการลงเนื้อหาแบบรายตอนในเด็กดี และได้มีการแจ้งกับนักอ่านเอาไว้แล้วว่าจะเริ่มลงเนื้อหาช่วงต้นเดือนสิงหาคม แต่กลับเกิดปัญหาเล็กน้อยและไม่ได้เป็นไปตามแพลนที่วางเอาไว้ ซึ่งรู้สึกผิดกับนักอ่านมากที่ไม่ได้เริ่มลงนิยายตามที่ตัวเองได้แจ้งไว้ แต่ล่าช้ามาเกือบสิบวัน ยังไงก็ต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านอีกครั้งด้วยนะคะ
ความตั้งใจแรกเลยคือในนิยายเซ็ต ตัวแม่ จะประกอบไปด้วย แม่ม่าย แม่เลี้ยง แม่บุญธรรม ค่ะ จะมีทั้งหมดสามเรื่องด้วยกัน (หรืออาจมีมากกว่านั้น) แต่เนื้อหาในนิยายไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยค่ะ สามารถแยกอ่านได้เลย ไม่สับสนแน่นอน แค่นิยายในเซ็ตมีคำว่าแม่ที่ไม่ได้หมายถึง คนที่คลอดออกมา เหมือนกันเท่านั้นค่ะ
ความคาดหวังของม่านหลังจันทร์
กับนิยายที่เป็นที่สุดของใจ
กับนักอ่านคาดหวังตลอดแหละ ไม่ว่าจะก่อนมีนิยายดังขายดีหรือหลังจากนั้น เราคาดหวังตลอดให้มีคนเข้ามาอ่านนิยายของเราเสมอ มากกว่านั้นเรายังคาดหวังว่า ในหนึ่งปีจะมีนิยายอย่างน้อยหนึ่งเรื่องที่เป็นเรื่องที่ตรึงใจนักอ่าน ได้เป็นเดอะเบสของปีนั้นที่ถูกนักอ่านชื่นชมมากที่สุด
ส่วนเรื่องที่คาดหวังกับตัวเองในฐานะนักเขียนก็คงมีเรื่องเดียวคือหวังว่าเนื้อเรื่องที่แต่งออกมาจะไม่ถูกนักอ่านเดาทางได้ค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ถ้าถามว่าเรื่องไหนของตัวเองที่ประทับใจไม่ลืม ก็มี 2 เรื่องค่ะ
เรื่องแรกคือ เลือกอดีตชาติรัก เป็นนิยายเรื่องแรกที่วางขายในรูปแบบอีบุ๊กด้วย และเป็นเรื่องที่ยังคงครองอันดับหนึ่งทำสถิติยอดขายวันแรกสูงที่สุดในการวางขายในรูปแบบอีบุ๊กจนถึงตอนนี้ค่ะ นิยายเรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องแรกที่เขียน และไม่ใช่จุดเริ่มต้นของม่านหลังจันทร์ แต่เป็นนิยายเรื่องแรกที่ทำให้ชื่อของม่านหลังจันทร์ถูกพูดถึงค่ะ
ส่วนอีกเรื่องคือเรื่อง ข้ามีน้องชายสามคน นิยายเรื่องนี้คือนิยายที่ได้รับกระแสตอบรับจากนักอ่านดีที่สุดมียอดขายทุกรูปแบบทำรายได้สูงที่สุดในบรรดานิยายทั้งหมดที่แต่งมาค่ะ

สัญญากับตัวเองว่าจะเขียนให้จบ
และขอบคุณตัวเองในอดีตที่กล้าเขียน
ถ้าใครรู้จักเราจริงๆ จะรู้ว่าเนื้อแท้แล้วเราเป็นคนไม่ยอมคน เป็นคนปากร้าย เป็นคนตรงๆ เหมือนตัวเอกในหลายๆ เรื่องที่เราเขียนเลยค่ะ สารพัดคำด่า ถ้าเป็นคนไม่ด่าคนไม่สู้ใคร คงเขียนคงคิดคำด่าในนิยายออกมาไม่ได้หรอก แต่การเป็นนักเขียนทำให้ต้องฝึกเป็นคนใจเย็นขึ้น ยอมรับฟังมากขึ้น เพราะต้องเจอกับนักอ่านที่มีความคิดเห็นต่างไปจากเรา บางครั้งสิ่งที่เราคิดอาจไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่ก็อาจไม่ได้ถูกต้องที่สุด แต่ละคนมีประสบการณ์ในชีวิตมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นต่างคนต่างมุมมอง ต้องยอมรับทั้งคำชมและคำติให้ได้ เพราะนักอ่านคือคนที่อ่านผลงานของเรา เขาคือคนที่ตอบได้ดีที่สุดว่างานของเราเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ การเป็นนักเขียนก็สอนให้เป็นคนมีความรับผิดชอบและมีวินัยในตัวเองค่ะ ตอนที่เราเป็นนักอ่านเราซื้อนิยายที่แต่งไม่จบด้วยความเชื่อใจ สุดท้ายนักเขียนเทเรากลางทาง ปล่อยเราทิ้งไว้กลางทะเล เรามีเพื่อนร่วมชะตาเป็นร้อยเป็นพัน จนทำให้พฤติกรรมการซื้อของนักอ่านส่วนมากค่อยๆ เปลี่ยนไป คือจะไม่ซื้อจนกว่าจะจบ นั่นทำให้เราสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นนักเขียนที่มีความรับผิดชอบต่อผู้อ่าน
เราในฐานะนักเขียนเปิดเรื่องพานักอ่านลงเรือมาแล้วต้องพาไปให้ถึงปลายทาง ส่งทุกคนขึ้นฝั่งไม่ปล่อยให้นิยายค้างๆ คาๆ นักอ่านลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล ไม่ว่าเรือของคุณจะมีผู้โดยสารกี่คนหรือแม้กระทั่งมีแค่คนเดียว คุณก็ต้องพาเขาไปส่งขึ้นฝั่งให้ได้ค่ะ แล้วหลังจากนั้นคุณจะทำอย่างไรต่อ จะเดินต่อไปแบบไหนในเส้นทางของการเป็นนักเขียนก็ค่อยเป็นเรื่องที่คุณต้องกลับมาคิดและพิจารณาอีกที
แล้วถ้าให้บอกอะไรกับตัวเองในอดีตได้ อยากจะบอกว่า เก่งมาก! กล้ามาก! ทำถูกแล้ว! ทำดีแล้ว! ทำต่อไป! ไม่เคยเสียใจกับการเริ่มแต่งนิยายและวางขาย ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่าทำไมตอนนี้ยังเป็นนักเขียนอยู่ ขอบคุณตัวเองในอดีตที่ไม่คิดมาก ขอบคุณตัวเองที่กล้าที่จะลองอะไรใหม่ๆ กล้าที่จะทำตามความฝันในวันที่ยังทำได้ ขอบคุณที่อดทนฝ่าแรงกดดัน ฝ่าคำดูถูกมากมาย เพราะถ้าวันนั้นไม่กล้าวันนี้คงไม่รู้จักคำว่าประสบความสำเร็จและคงไม่ได้พิสูจน์ว่าเราก็พอตัวเลยนะ

จากม่านหลังจันทร์ถึงนักเขียน
อย่ากลัวที่จะเริ่มต้นและล้มเหลว
นักอ่านทุกคนไม่ใช่นักเขียน แต่นักเขียนทุกคนต้องเคยเป็นนักอ่านมาก่อนทั้งนั้น แน่นอนว่าแต่ละคนก็จะมีรสนิยมและผลงานที่ชื่นชอบที่แตกต่างกันออกไป และทุกครั้งในการอ่านนิยายคุณจะมีข้อติ-ชมนิยายเรื่องนั้นในใจเสมอ ดังนั้นจงพิสูจน์คำวิจารณ์ของคุณในงานของคนอื่นด้วยฝีมือของคุณเองในผลงานของคุณเอง แล้วเปิดรับคำวิจารณ์ของคนอ่านเพื่อนำไปปรับปรุงผลงานของคุณเองในส่วนที่คุณคิดเห็นตรงกันกับคำวิจารณ์นั้นๆ อย่าเพิ่งคิดว่ามันจะแมสไหม อย่าเพิ่งตัดสินใจเอาเองว่าทำได้ไม่ดี ลองให้คนอ่านเป็นคนให้คำตอบกับคุณก่อน
อย่ากลัวที่จะเริ่มเพราะการเริ่มเป็นนักเขียนไม่ได้ยาก นักเขียนดังๆ ทุกคนก่อนจะเป็นนักเขียนขายดีเป็นที่รู้จัก ทุกคนก็เริ่มมาจากศูนย์ทั้งนั้นแหละ สิ่งที่ยากไม่ใช่การเริ่มเป็นนักเขียนแต่เป็นการแต่งนิยายให้จบ และสิ่งที่ยากกว่าการแต่งนิยายให้จบคือการแต่งนิยายให้ตรงใจคนอ่านค่ะ
ถ้านิยายเรื่องแรกของคุณกระแสตอบรับไม่ดีนักอย่างเพิ่งท้อ ลองเรื่องที่สอง เรื่องที่สาม เรื่องที่สี่ก่อน ไปจนถึงเรื่องที่ร้อยเลยก็ได้ ลองพัฒนาฝีมือของตัวเองไปเรื่อยๆ อย่าทิ้งการเขียน อย่าเพิ่งยอมแพ้เพียงเพราะแค่คนอ่านน้อย เพราะขนาดนิยายที่โด่งดังระดับโลกจนถูกเอาไปสร้างเป็นหนังอย่าง Harry Potter ยังเคยถูกปฏิเสธถึง 12 ครั้ง ถ้าวันนั้น J.K. Rowling ยอมแพ้ไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกปฎิเสธ เราคงไม่มีนิยายสนุกๆ ที่ถูกเอาไปสร้างเป็นหนังดีๆ ให้ได้ดูกัน ดังนั้นถึงคุณจะถูกปฎิเสธจากนักอ่าน 12 ครั้ง แต่ไม่แน่คุณอาจถูกชื่นชมในครั้งที่ 13 ก็ได้ แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง ถ้าคุณไม่ได้ลอง ถ้าคุณยอมแพ้ไปก่อน
ใครอ่านบทสัมภาษณ์นี้จบ ต้องมีลุกไปเขียนนิยายของตัวเองบ้างแล้วล่ะ เรื่องราวของม่านหลังจันทร์เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและแพชชั่นของนักเขียนมือใหม่คนหนึ่ง ที่สู้จนมีวันนี้ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างน่าชื่นชม!
ม่านหลังจันทร์เริ่มต้นจากการเป็นนักอ่าน ก่อนจะผันตัวมาเขียนนิยาย และขายนิยายออนไลน์จนกลายเป็นอาชีพหนึ่งที่สร้างรายได้เลี้ยงชีพให้เธอได้จริง เรื่องราวของเธอเหมือนความฝันของนักเขียนหลายคน ที่อยากเขียนนิยายและประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน ทว่ากว่าม่านหลังจันทร์จะมาถึงจุดที่เล่าเรื่องได้อย่างสบายๆ แบบวันนี้ เธอต้องผ่านทั้งคำวิจารณ์ด้านลบ ต้องแบ่งเวลาจากงานประจำมาเขียนนิยายให้ได้อย่างน้อยวันละหนึ่งตอน และตั้งเป้าให้ตัวเองเขียนนิยายให้จบทุกเรื่องอยู่เสมอ สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอเดินมาถึงจุดนี้ได้ ก็คือ ความมีวินัย ความรับผิดชอบต่อนักอ่าน และความรักในการเขียนนิยาย นั่นเอง
หวังว่าเรื่องราวของเธอในวันนี้ จะเป็นกำลังใจดี ๆ ให้ทุกคนที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางนักเขียน สู้ต่อไปและไม่หยุดสร้างฝันของตัวเองนะคะ
เริ่มเขียนนิยายพี่แนนนี่เพน
อ่านผลงานนิยายของ ม่านหลังจันทร์
0 ความคิดเห็น