"โอบ โอบนิธิ" กับเคล็ดลับความพยายามแบบฉบับไอดอลต้องแบ่งเวลา


       สวัสดีค่ะ ใกล้ช่วงสอบ GAT PAT เข้ามาทุกที น้องๆ หลายคนอาจจะมีหลายความรู้สึกเข้ามาในช่วงนี้ ทั้งความเสียใจ สับสน กังวล ไม่มีสมาธิ เมื่อทุกอย่างต้องดำเนินต่อไป การสอบ GAT PAT ก็ยังคงสอบตามปกติ พี่อีฟจึงอยากฝากเทคนิคการเตรียมตัวสอบผ่าน Admission Idol คนนี้เพื่อนำเทคนิคไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ 

       วันพุธที่ผ่านมา พี่อีฟได้มีโอกาสไปพูดคุยกับ พี่โอบ โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ ในงาน "Key to success กุญแจแห่งความสำเร็จ" ที่จัดขึ้นโดยคุณครูพี่แนน จาก Enconcept ซึ่งภายในงานพี่โอบก็ได้มาร่วมพูดคุยถึงเคล็ดลับการเรียน และการเตรียมพร้อมก่อนสอบ ฯลฯ พี่อีฟเลยขอคว้าพี่โอบ มาเป็นหนึ่งใน Admission Idol พูดคุยกันถึงเคล็ดลับการเรียน ตั้งแต่การสอบเข้า ไปจนถึงการแบ่งเวลาและใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย อยากรู้ว่าจะเป็นยังไง ไปติดตามกันเลยค่ะ
 

          ช่วงนี้น้องๆ หลายคน น่าจะกำลังติดตามพี่โอบ จากซีรีส์ I HATE YOU I LOVE YOU กันอยู่ แต่ก่อนที่จะไปรู้กันว่าพี่โอบ หรือตัวละครไอ่ในเรื่อง จะมีเรื่องราวยังไง พี่อีฟก็ขอพาน้องๆ ไปดูอีกหนึ่งบทบาทด้านการเรียนของพี่โอบ ตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้น ม.6 ที่ตั้งใจสอบเข้าคณะในฝัน ไปจนถึงการแบ่งเวลา 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัยกับคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ความพยายามของพี่โอบจะมีมากแค่ไหน ชีวิตเด็กม.6 จะกดดันยังไง ไปติดตามกันเลยค่ะ


จุดเริ่มต้นของคณะในฝัน
        เอาจริงๆ เป้าหมายแรกที่เป็นจุดเปลี่ยนของผมเลย ก็คือ การที่ผมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมไม่ติด ซึ่งแม่ก็คาดหวังไว้มาก ที่อยากให้เราเข้าที่นี่ พอเราสอบไม่ติด ตอนนั้นผมก็มาคิดว่า แม่ทุ่มเทกับเรามาตลอด เสียเงินค่าเรียนพิเศษให้เราเยอะมาก เพราะแม่ผมจะเป็นคนทุ่มเทกับเรื่องเรียนมาก คือถ้าเป็นเรื่องเรียน ต่อให้คอร์สแพงขนาดไหน แม่ก็ยอมจ่าย แค่เราบอกว่าเราอยากเรียน มันเลยเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนที่เราอยากจะทำให้แม่ภูมิใจ และเราก็อยากทำให้อนาคตเราออกมาดีที่สุด
       ตอนแรกผมไม่ได้อยากเรียนเศรษฐศาสตร์เลย อยากเป็นหมอด้วย แต่พอมาถึงจุดๆ หนึ่ง เราก็ค้นพบว่ามันไม่เหมาะกับเราเลย จำไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของวิชาเรียนด้วย ที่ถ้าเราไปเรียนเราก็คงไม่ไหว ตอนนั้นพอเรามาเจอวิชาสังคมศึกษา ในพาร์ทของเศรษฐศาสตร์ เรียนเรื่อง Demand Supply
เราก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ สนุกดี เราก็เอามาเก็บไว้เป็นตัวเลือกในใจตอนแอดมิชชั่น

แล้วตอนนั้น 4 อันดับแอดมิชชั่น เลือกอะไรบ้าง
       อันดับ 1 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาวิชาการประกันภัย จุฬาฯ ที่เลือกเป็นอันดับ 1 เลย เพราะผมชอบบัญชีฯ มาก อยากเรียนเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ประกันภัย เพราะผมชอบเลขฯ ด้วย
       อันดับ 2 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ อันดับ 2 นี่ผมฉีกไปเลยครับ มาแนววารสารฯ 
       อันดับ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
       อันดับ 4 คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาบัญชี ม.เกษตรศาสตร์
          ตอนนั้น อันดับ 1 เป็นช่วงที่คะแนนขึ้น ก็เลยไม่ติด ส่วนอันดับ 2 จำได้ว่าตอนนั้นคะแนนผมขาดไป 100 คะแนน ก็เลยมาติดอันดับ 3 ครับ


ตอนนั้นคะแนนแอดมิชชั่น เป็นยังไงบ้าง
       โอบได้ GAT ประมาณ 250 คะแนน และ PAT1 ก็ได้ประมาณ 114 คะแนนครับ ตอนนั้นผมสอบทั้ง 2 รอบเลย รอบแรกผมได้น้อยนะ GAT ได้ประมาณ 242 คะแนน ส่วน PAT1 ได้ประมาณ 76 คะแนน ผมก็เลยฟิตตัวเองใหม่ รอบ 2 คือตั้งใจทำให้ดีขึ้น ส่วน GPAX เกรดจบผมได้ประมาณ 3.58 แต่ O-NET ผมไม่แน่ใจว่าถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์ ผมได้เท่าไหร่ แต่วิชาพวกศิลปะฯ ผมได้น้อยมาก :)
 

ก่อนแอดมิชชั่น มีสมัครรับตรงที่ไหนไหม
       ก็มีนะครับ ผมมีสมัครรับตรง SIIT ของ ม.ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นก็ไปสอบไว้ แต่ผมว่าคณะนี้ยังไม่ใช่ตัวผม ซึ่งผมก็คุยกับแม่หลายรอบมาก เพราะตอนนั้นที่สอบติดแล้ว แม่ก็อยากให้เราเลือกเลย แต่ผมก็บอกแม่ว่า ไม่ได้นะ ถ้าผมเรียนไปแล้วมันไม่ใช่ แม่จะเสียเงินค่าเทอมแพงนะ แม่ก็เลยโอเค ยอม ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เปลี่ยน แล้วก็มาสอบตรงได้ วิศวกรรมเคมี ของ ม.เกษตรศาสตร์ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เหมือนกัน ก็เลยไม่เอา มารอแอดมิชชั่นดีกว่า คือต้องบอกว่า จริงๆ แล้ว ผมมีความมุ่งมั่นที่อยากเรียนคณิตศาสตร์ประกันภัยอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าอย่างอื่นมันไม่ใช่ แล้วคณิตศาสตร์ประกันภัย ที่ผมพอจะรู้ ก็มีที่จุฬาฯ ที่มีชื่อเสียง ผมเคยได้มีโอกาสไปงาน Openhouse แล้วพี่ๆ ก็แนะนำ ทำให้เราอยากเรียน ก็มุ่งไปที่สาขาหรือคณะนั้นเลย แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

เตรียมตัวยังไงบ้าง กับการสอบ
       จริงๆ แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่เครียดมากเลยครับ วันธรรมดาหลังเลิกเรียน เราก็จะต้องมานั่งอ่านหนังสือ แล้วผมเป็นคนที่อ่านอยู่บ้านไม่ได้ จะไม่เข้าหัว ก็ต้องนั่งรถเมล์มาที่เซนทรัลเวิร์ล มานั่งอ่านที่ TK Park หรือถ้าวันไหนมีเรียนพิเศษ ก็จะเรียนพิเศษก่อนแล้วค่อยมานั่งอ่าน ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ เป็นวันหยุดที่ผมไม่ได้พักผ่อนเลย เพราะเป็นวันที่ผมจะต้องมานั่งเรียนพิเศษจริงจัง คือเรียนตั้งแต่เช้าจนเย็น เช้าคือแปดโมงเช้าจนถึงสี่โมงเย็นเลย เป็นช่วงที่หนักมากนะ แต่เอาจริงๆ แล้ว พอผลมันออกมาดี มันก็ทำให้เรารู้สึกคุ้มค่ากับที่ทุ่มเทไป

ชีวิตมหาวิทยาลัยกับมัธยม แตกต่างกันยังไงบ้าง
       แตกต่างกันมากเลยครับ คือช่วงสอบตอนกลางภาค หรือปลายภาคสมัยมัธยม ถ้าวิชาไหนที่เราไม่ชอบ เราก็สามารถเข้าไปมั่วหรือเดาได้ แต่มหาวิทยาลัยมันทำไม่ได้แล้ว กลายเป็นว่าเราต้องดูแลและช่วยเหลือตัวเองมาก เพราะการอ่านหนังสือสอบในมหาวิทยาลัยมันไม่ใช่แค่นิดเดียว หรือมันไม่ใช่ความจริงจังเหมือนตอนมัธยมแล้ว แต่มันคือความจริงจังอีกรูปแบบหนึ่งไปเลย เป็นความจริงจังแบบที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่เราต้องเตรียมตัวไปเป็นผู้ใหญ่ในอีก 4 ปีข้างหน้า เราก็รู้สึกว่าค่อนข้างปรับตัวยาก ตอนแรกเกรดผมตกไปเลย เหลือประมาณ 2.5 ซึ่งผมรู้สึกว่าเราไม่เคยเรียนแล้วได้เกรดน้อยขนาดนี้มาก่อน ก็เฟลและเครียดมาก ปรึกษาแม่ว่าจะเอายังไงดี แต่ก็มาคิดได้ว่ามันอาจจะเป็นช่วงปรับตัว เพราะว่าเรายังไม่คุ้นกับชีวิตแบบนี้ พอเริ่มปรับตัวได้ ก็ผ่านมาได้ แต่การสอบก็ยากเหมือนเดิมครับ :)
 

แบ่งเวลาเรียนกับการทำงานยังไงบ้าง
        ขั้นแรกคือ ผมจะพยายามรับงานให้ไม่ตรงกับวิชาเรียนมากที่สุดครับ จะพยายามรับช่วงเลิกเรียน หรือไม่ก็วันเสาร์อาทิตย์ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อย่างเช่น ต้องถ่ายละคร หรือถ่ายซีรีส์ ผมก็จะพยายามขาดเรียนให้น้อยที่สุดครับ จะขอไว้เลยว่า ถ้าสมมติมีถ่ายช่วงบ่าย ผมขอไปเรียนเช้าก่อนได้ไหม หรือถ้าสมมติมีถ่ายช่วงเช้า ผมก็จะขอกลับไปเรียนบ่ายได้ไหม แล้วก็ถ้าวันไหนที่ผมจำเป็นต้องขาดเรียนทั้งวันจริงๆ ก็ดีที่มีเพื่อนช่วยครับ ผมโชคดีที่ผมได้เพื่อนดี เพราะเพื่อนผมจะพยายามอัดเสียงทุกครั้งแล้วก็เก็บไว้ให้ ผมก็จะพยายามไปขอดูเลคเชอร์ ขอยืมเลคเชอร์ไปถ่ายเอกสาร  แล้วก็มานั่งอ่านตอนกลางคืนเอง ซึ่งผมคิดว่าจริงๆ แล้วการอยู่มหาวิทยาลัย มันคือการช่วยเหลือตัวเองมากพอสมควรเลย เช่น เวลาเราอยู่ในห้องสอบ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเองล้วนๆ หรือลองนึกว่าถ้าเพื่อนพยายามอัดคลิปเสียงมาให้ หรือเราขอยืมเลคเชอร์เพื่อนมาแล้ว แต่ไม่ยอมมานั่งดูหรือทบทวน ทุกอย่างก็จบ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย 

ส่วนมากใช้เวลาช่วงไหนในการอ่านหนังสือ
       น่าจะอ่านช่วงกลางคืนนี่แหละครับ แต่ไม่ดึกมากหรือไม่ถึงกับอ่านข้ามคืน เพราะผมเป็นคนที่โฟกัสเรื่องการนอนมาก จะพยายามนอนให้ได้ 8 ชั่วโมงต่อวัน การนอน คือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดแล้ว :) ผมก็พยายามอ่านตอนกลางคืน แต่ก็จะไม่เกินเที่ยงคืน ซึ่งเอาจริงๆ พอเกินเที่ยงคืนสมองผมก็เริ่มไม่ไหวแล้ว มันเบลอไปแล้ว แต่ถ้าช่วงไหนใกล้สอบ ต้องอ่านเยอะ ถ้าให้ผมเลือกอ่าน ผมก็จะเลือกนอนเร็ว แต่ตื่นเช้ามาอ่านดีกว่า ผมไม่สามารถทำแบบคนอื่นที่อ่านหนังสือโต้รุ่งได้ ซึ่งมันก็เป็นสไตล์การอ่านของแต่ละคน
 

เทคนิคการอ่านหนังสือในแบบโอบ
        มันต้องเริ่มมาจากที่เราต้องตั้งเป้าหมายของเราก่อน อย่างตัวโอบ พอเรารู้ว่าเราอยากจะเรียนบัญชี เราก็หาข้อมูลว่า บัญชีต้องสอบอะไร ต้องยื่นคะแนนอะไรบ้าง แล้วผมก็มุ่งไปที่จุดนั้นเลย อย่างบัญชี จะใช้แค่เลขกับอังกฤษ และคณะที่เราเลือกทั้ง 4 อันดับในแอดมิชชั่น ก็ใช้เลขกับ GAT ซึ่งผมมองว่าส่วนสำคัญคือเราต้องทำพาร์ทอังกฤษให้ได้เยอะๆ แต่ละคณะที่ผมเลือกก็ใช้วิชาที่ไม่หนีกันเลย อย่างวารสารฯ ก็ใช้คะแนน GAT อย่างเดียว (เน้นทำพาร์ทอังกฤษให้ได้เยอะๆ) ซึ่งผมก็โชคดีที่เรารู้ตัวว่าอยากเรียนอะไร แล้วก็โฟกัสแค่ 2 วิชานี้ล้วนๆ เลย
       ถ้าเป็นเลข เรียนจบมาปุ๊บ เราก็ต้องรีบมานั่งทำโจทย์ต่อ ซึ่งผมเป็นคนชอบเรียนเลขก็จะรู้สึกสบายใจ เวลาทำแล้วทำได้ก็จะรู้สึกสนุก ส่วนอังกฤษ เราให้ความสนใจมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว และผมมองว่าการที่เราเรียนรู้เรื่อง Conversation มันสามารถเอาไปใช้ได้จริงในอนาคต ก็เลยเป็นความสนุกมากกว่า แต่ก็เป็นความสนุกบนความกดดัน เช่น มีแรงกดดันจากครอบครัว จากตัวเอง ฯลฯ เพราะที่บ้านผมก็ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการเรียนเหมือนกัน
       เทคนิคของผม เลยเน้นไปที่การรู้ตัวเอง มีเป้าหมาย แล้วก็ขยันให้มากขึ้น บวกแรงกดดันนิดหน่อยจากรอบข้าง เพราะผมจะเป็นคนที่ ถ้าไม่มีคนกดดัน ผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยจริงจังครับ ชิลๆ ไปวันๆ ครับ


สิ่งสำคัญที่ควรทำในการสอบ GAT PAT
        เอาจริงๆ แล้ว ผมอยากให้พยายามทำข้อสอบเก่าๆ ให้มากที่สุด เพราะอย่างวิชาเลข มันจะออกไม่ต่างกันมาก แต่ละเรื่องออกประมาณ 3-4 ข้อ และการออกแต่ละจุด จะคล้ายๆ เดิม ซึ่งคนที่ทำโจทย์ PAT1 มาเยอะๆ จะพอเดาทริคออกว่า มันจะเป็นรูปแบบนี้ จุดหลอกมันจะอยู่ตรงนี้
        ส่วน GAT ถ้าเป็นพาร์ทอังกฤษ ผมมองว่ามันไม่ต้องจากเดิมเลย ข้อสอบจะคล้ายกับข้อสอบเก่ามาก ถ้าเราทำข้อสอบเก่าบ่อยๆ ก็จะทำได้ จะได้เช็กความเข้าใจของเราด้วย ถ้าเป็น GAT พาร์ทเชื่อมโยง ผมว่าต้องทำข้อสอบเก่าๆ บ่อยๆ หมายถึงว่าไม่ใช่แค่ข้อสอบนะ อย่างผมจะลองเอาบทความทั่วไป มาลองเขียนเองเลยว่า คำนี้เชื่อมโยงกับคำนี้ หรือคำนี้ทำให้เกิดคำไหน หรือคำนี้ขัดแย้งกับคำไหน อันนี้เป็นทริคที่ผมใช้เตรียมตัวในช่วงเตรียมตัวสอบ พอตอนใกล้สอบก็จะมาทบทวนตามลิสต์อีกที

 

เคยท้อหรือเหนื่อยบ้างไหม
        มีอยู่แล้วครับ ผมว่าน่าจะมีทุกคนนะ ผมมีบางวันที่แบบเหนื่อยมาก โทรไปร้องไห้กับแม่ บอกไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก แม่ก็จะปลอบว่าไม่เป็นไรนะลูก เหลืออีกแค่นิดเดียว ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมผ่านช่วงเวลาท้อๆ มาได้ ก็คือครอบครัวนี่แหละครับ เพราะผมให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอับดับ หนึ่ง ตลอดเวลาก็คิดเสมอว่าจะต้องเอาใบปริญญามาฝากพ่อแม่ให้ได้เร็วที่สุด สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า อยากจะทำ และจะต้องทำให้ได้

สำหรับเรา อะไรคือความยากง่ายของการเรียนเศรษฐศาสตร์
        ความยากง่ายของเศรษฐศาสตร์คือ การคิดวิเคราะห์ครับ เหมือนกับว่าเราต้องตีความออกมาในรูปแบบต่างๆ แล้วสามารถเขียนบรรยายออกมาเป็นกราฟ หรือว่าเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับหลักทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมันมีเงื่อนไขมากมาย สำหรับใครที่อยากเรียน ผมว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราเรียนและสามารถประยุกต์เอาไปใช้ได้ ส่วนการเตรียมตัว ผมมองว่าการเข้ามาเรียนมันมีทั้งรอบรับตรงแล้วก็แอดมิชชั่น ก็ไม่อยากจะให้พลาดสักรอบ อย่าลืมศึกษากฎเกณฑ์ของแต่ละรอบว่าต้องใช้คะแนนหรือสอบอะไร และก็พยายามทำให้เต็มที่ในส่วนนั้น รับรองว่าเข้าได้แน่นอนครับ

ฝากอะไรถึงน้องๆ ที่อ่านบทสัมภาษณ์เราหน่อยค่ะ
        รู้ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังพยายามตั้งใจทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด เพราะผมก็เคยยืนตรงจุดนี้มาก่อน ผมก็เลยรู้สึกว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครเลย มันขึ้นอยู่กับตัวเองล้วนๆ เพราะอนาคต ก็คืออนาคตของเราเอง คือพ่อแม่ หรือคุณครู หรืออาจารย์สอนพิเศษ ทุกคนพยายามช่วยให้เราไปถึงจุดหมายได้ แต่คนที่จะถึงจุดหมายหรือไม่ถึงจุดหมาย คือตัวเราเอง และถ้าทุกคนให้เรา พยายามเพื่อเรามากขนาดนี้ แต่เราไม่รับอะไรไว้ มันก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย อยากให้น้องๆ สู้ๆ ลองนึกว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้มีโอกาสมาเรียนเพิ่มหรือเรียนเสริม ต้องเรียนแล้วก็พยายามด้วยตัวเอง ก็อยากจะให้นึกถึงคนเหล่านี้ไว้
       ผมรู้ว่าทุกคนมีจุดที่ตั้งใจแล้วเหนื่อย แต่อยากจะบอกว่าถ้าวันหนึ่งน้องประสบความสำเร็จ แล้วหันกลับมามองจุดนี้ น้องจะภูมิใจว่าตัวเองก็ทำได้ ยิ่งตอนนี้พยายามมากแค่ไหน พอมาเห็นผล เราก็ยิ่งจะหายเหนื่อย และมีความสุข พี่จะคอยเป็นกำลังใจและคอยมองดูความสำเร็จของน้องๆ อยู่ครับ :)

 

          เป็นยังไงกันบ้างคะ กับความตั้งใจและความพยายามของพี่โอบ ถึงจะพยายามมาหนักและเหนื่อยแค่ไหน แต่ถ้ามองย้อนกลับไป จะต้องภูมิใจแน่นอนค่ะ ทั้งพี่โอบแล้วก็พี่อีฟ รอดูความสำเร็จของน้องๆ ทุกคนอยู่ค่ะ กลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้า และอย่าลืมติดตามผลงานของพี่โอบด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ
 
พี่อีฟ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด