รู้หรือไม่! Harry Styles กับ 8 โมเมนต์สุดประทับใจในการซัพพอร์ตชาว LGBTQ+

แฮร์รี่ สไตลส์ (Harry Styles) ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกที่บางคนอาจจะรู้จักจากการเป็นสมาชิกวง One Direction หรือการเป็นศิลปินเดี่ยว ไม่ก็จากผลงานการแสดงต่างๆ หรือแม้แต่การเป็นแฟชั่นไอค่อน แค่เห็นโปรไฟล์ก็เป็นเหมือนเครื่องยืนยันความสามารถไปในตัว แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนชื่นชมและชื่นชอบแฮร์รี่เป็นพิเศษก็คือการทลายขีดจำกัดทางเพศ และการสนับสนุนความเท่าเทียมของเพื่อนมนุษย์ วันนี้พี่แพมก็มี 8 มูฟเมนต์ที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ของแฮร์รี่ที่น่าประทับใจมาให้ดูกัน

เดตกับใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง

เคยมีบทสัมภาษณ์ในปี 2014 ถามแฮร์รี่ว่า 4 อย่างที่เขามองหาในตัวผู้หญิง และคำตอบจากแฮร์รี่ก็คือ ไม่สำคัญว่าต้องเป็นผู้หญิงหรอก เขาแค่มองหาคนที่เป็นธรรมชาติ มีอารมณ์ขัน และจิตใจดี  

ซัพพอร์ตนักกีฬา LGBTQ+

ย้อนไปปี 2014 ตอนที่แฮร์รี่เล่นคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆ One Direction ที่ St.Louis Missouri เขาก็สวมเสื้อกีฬาอเมริกันฟุตบอลทีมประจำเมือง เบอร์ 96 ซึ่งเป็นเบอร์ของ Michael Sam นักกีฬาคนแรกที่กล้าเปิดเผยว่าเป็นเกย์ในลีกอเมริกันฟุตบอล NFL 

เราทุกคนมีความเกย์อยู่ในตัว

ที่คอนเสิร์ตใน Los Angeles รัฐ California เมื่อปี 2018 แฮร์รี่ก็อ่านป้ายจากแฟนคลับ (อ่านป้ายเก่ง) ที่เขียนว่า "I'm gay and I love you." (ฉันเป็นเกย์และฉันรักคุณ) และรีแอคของแฮร์รี่ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วตอบว่า "พวกเราทุกคนก็มีความเกย์เล็กๆ อยู่ในตัวทั้งนั้นแหละ จริงมั้ย?"  

Treat People With Kindness  

ย้อนไปช่วง Pride Month เดือนมิถุนายน ปี 2018 แฮร์รี่ทำสินค้าขายให้กับแฟนคลับ ความพิเศษคือมีเสื้อยืดที่สกรีนตัวอักษรสีรุ้งเป็นคำว่า "Treat People With Kindness" แปลเป็นไทยได้ว่า "ปฏิบัติกับผู้คนด้วยความเมตตา" และนำกำไรจากการขายเสื้อบริจาคให้กับ GLSEN ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรและเป็นที่รู้จักในนามเครือข่ายการศึกษา เกย์ เลสเบี้ยน และเพศหญิง-ชาย  

ผ่านมาในปี 2021 แฮร์รี่ก็ปล่อยเพลงที่มีชื่อว่า Treat People With Kindness ออกมา ซึ่งมีเนื้อหาที่มอบพลัง มอบความรู้สึกดีๆ ให้กับคนฟัง MV และคอสตูมก็ยังพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมกัน และความหลากหลายทางเพศด้วยนะ

ธงสีรุ้ง

ศิลปินคนอื่นๆ อาจจะมีแท่งไฟหรือสีแฟนด้อมเป็นของตัวเอง เอาไว้ไปโบกเวลามีคอนเสิร์ต แต่สิ่งที่อยู่คู่กับแฮร์รี่จนแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของแฮร์รี่ก็คือธงรูปสีรุ้ง ที่เขาจะพกขึ้นไปบนเวทีตลอดเวลา

 ช่วยแฟนคลับ Come Out  

กลางคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองที่สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 แฮร์รี่ก็ได้ช่วยแฟนคลับก้าวข้ามกำแพงเรื่องเพศกับครอบครัว เพราะหลังจากที่เขาเห็นป้ายของแฟนคลับสาวคนหนึ่งที่เขียนว่า "My mom is in Section 201. Help me come out." แปลเป็นไทยได้ว่า "แม่ฉันอยู่โซน 201 ช่วยฉันเปิดเผยตัวตนหน่อยได้มั้ย" เขาก็เข้ามาคุยกับ McKinley McConnell แฟนคลับที่ขอความช่วยเหลือ แล้วก็เดินตรงไปที่หน้าโซน 201 พร้อมบอกกับลิซ่า แม่ของแฟนคลับคนนั้นว่า "Lisa, she's gay!" หรือ "ลิซ่า เธอเป็นเกย์!" (Gay สามารถหมายถึงเกย์และเลสเบี้ยนได้) แน่นอนว่าคุณแม่ต้องตกใจแต่เหนือสิ่งอื่นใด คือเธอส่งจูบผ่านไปถึงลูกสาว เป็นการแสดงออกว่ารักและยอมรับในตัวตนของลูกจริงๆ  

ฉีกกำแพงเรื่องเพศกับแฟชั่น  

พูดถึงเรื่องแฟชั่นกับแฮร์รี่ สไตลส์บอกเลยว่าเปิดกว้างสุดๆ เพราะเขาสามารถแต่งตัวได้ทุกแบบ ทุกสไตล์ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายเท่านั้น เรียกได้ว่าอิสระ เสรี โนสน โนแคร์สุดๆ ตัวอย่างพีคๆ เลยก็เป็น ชุดบัลเลต์กระโปรงบานฟรุ้งฟริ้ง สวมเดรสยาวขึ้นปกนิตยสาร Vogue อเมริกา ชุดเดินพรมในงาน Met Gala ก็ฟาดทั้งโบ ทั้งผ้าซีทรู รองเท้ามีส้น แต่งเดรสสั้น ติดโบ มาแก้มแดงในงานฮาโลวีนก็ทำมาแล้ว รวมไปถึงสวมเฟอร์สีม่วงในงาน Grammys แฮร์รี่ทำให้เห็นจริงๆ ว่าเสื้อผ้าไม่มีเพศ เขาเคยพูดว่า  

การที่คุณไม่สวมบางอย่างเพราะเป็นของผู้หญิง มันเหมือนคุณปิดกั้นโลกของเสื้อผ้าที่ยอดเยี่ยม  มันไม่จำเป็นต้องมี X หรือ Y ตอนนี้เส้นแบ่งมันเริ่มเบลอขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

ไม่จำเป็นต้องระบุเพศของเขา  

แฮร์รี่ให้สัมภาษณ์กับ Better Homes and Gardens ว่าประเด็นที่ทุกคนควรโฟกัสคือการยอมรับและการเปิดกว้างมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยที่จะไประบุทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของเขาเท่านั้น รวมไปถึงการออกเดทและความสัมพันธ์ ซึ่งเขาเองก็เปิดใจเรื่องนี้กับเพื่อน และอธิบายว่าเรื่องเพศเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละบุคคล และมองว่าการมากำหนดเพศเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้ว

การเคลื่อนไหวของแฮร์รี่ สไตลส์ทุกครั้งก็ช่วยจุดประกายให้กับชาว LGBTQ+  อย่างที่แฮร์รี่บอกแหละค่ะ ว่าการแบ่งเพศเป็นเรื่องที่ล้าสมัย โลกนี้มีคนมากมายหลากหลายและแตกต่างกันไป การตีตราว่าใครเป็นอะไรเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น  แค่เคารพความชอบและตัวตนของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันก็เพียงพอ