อาชีพใหม่ นักธุรกิจสตาร์ทอัพ
เชื่อว่าช่วงนี้คงจะได้ยินคำว่า สตาร์ทอัพ กันอยู่บ่อยๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่าธุรกิจที่มีชื่อเรียกแบบนี้มันคืออะไรกันแน่ ต้องเป็นเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอย่างเดียวหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องอื่นๆ ก็ได้ มาดูกันว่าแท้จริงแล้วธุรกิจที่ว่านี้มันคืออะไรกันแน่
ก่อนอื่นเรามาไล่เรียงความหมายของคำที่จะเจอในวงการ สตาร์ทอัพ กันก่อน
Growth = การเติบโตRepeatable = การทำซ้ำ
Scalable = การขยายตัว
Technology = เทคโนโลยี
Industry Disruption = การทำลายอุตสาหกรรม
ซึ่งคำทั้่งหมดนี้นำมาเรียบเรียงเป็นคุณสมบัติของ Startup ได้แบบนี้
“ธุรกิจสตาร์ทอัพคือ ธุรกิจที่เริ่มต้นจากการแก้ปัญหาจุดเล็กๆ แล้วมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยมีการออกแบบให้ธุรกิจสามารถทำซ้ำง่ายและขยายตัวได้เร็ว มีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้มีต้นทุนต่ำ สามารถแข่งขันกับธุรกิจในอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่แบบเดิมได้ง่าย หลายครั้งนำไปสู่การล่มสลายของธุรกิจแบบดั้งเดิมในที่สุด”
Steve Blank ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งสตาร์ทอัพ ให้คำนิยาม startup ไว้ว่า “a startup is an organization formed to search for a repeatable and scalable business model” แปลได้ว่า “สตาร์ทอัพคือกิจการที่ตั้งขึ้นเพื่อค้นหาโมเดลธุรกิจ (business model) ที่ทำซ้ำได้ (repeatable) และขยายตัวได้ (scalable)”
ดังนั้ันหัวใจสำคัญของ “สตาร์ทอัพ” อยู่ที่ “โมเดลธุรกิจ (business model)” ซึ่งก็หมายถึงรูปแบบวิธีการดำเนินกิจการของบริษัทในการสร้างรายได้ เช่น เว็บวงใน (www.wongnai.com) เปิดให้คนมีรีวิวร้านอาหารจนกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการกินอาหารและหารายได้จากการลงโฆษณาของร้านอาหาร (และอาจจะมีอื่นๆตามมาอีก) ดังนั้นถ้าทำเว็บให้รีวิวสินค้าโดยไม่รู้ว่าจะหาเงินอย่างไรก็ไม่เกิดธุรกิจ
แต่ Steve Blank เน้นย้ำว่า “สตาร์ทอัพ” ต้องการหาโมเดลธุรกิจที่ repeatable และ scalable นั่นคือโมเดลธุรกิจนั้นสามารถสร้างกำไรได้เรื่อยๆ เพิ่มผู้ใช้ได้เรื่อยๆ (repeatable) และสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้นและกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ (scalable) ซึ่งการจะเติบโตอย่างรวดเร็ว (high growth rate) และกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่อย่างนั้นได้ในปัจจุบันก็คือต้องหาลูกค้าให้มีจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในลักษณะของการผ่านระบบออนไลน์ในปัจจุบัน
ตัวอย่างที่เราเห็นกันชัดเจนมากก็อย่างเช่น Facebook ซึ่งเปิดตัวเพียงเมื่อปี 2004 แต่ปัจจุบันมีมูลค่าถึงกว่า 350,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีคนใช้ทั่วโลกกว่า 1900 ล้านคน และมีลูกค้าที่ยอมจ่ายเงินเพื่อลงโฆษณาอยู่ทั่วโลกเช่นเดียวกัน
หรืออย่างกรณีของ GRAB เองจะเห็นได้ว่าเขาเริ่มต้นจากในมาเลเซีย แต่ปัจจุบันก็ขยายไปในประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้โดยในแต่ละประเทศอาจจะมีการปรับรายละเอียดการดำเนินการของธุรกิจไปบ้างตามข้อจำกัดและโอกาสที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกสตาร์ทอัพจะต้องเป็น scalable startup บางคนอาจจะเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจและมีความสุขกับการอยากเป็นเพียง small business startup ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง “สตาร์ทอัพ” ในความหมายที่เราใช้กันในประเทศไทยทุกวันนี้
ตัวอย่างสตาร์ทอัพที่ดังๆ มักจะเป็นสตาร์ทอัพในเชิงเทคโนโลยี (tech startup) หรือก็คือพวกที่ใช้เทคโนโลยีด้าน คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ICT การเขียนซอฟท์แวร์ ระบบเว็บ ระบบ e-commerce อะไรเสียมาก แต่ในขณะเดียวกันสตาร์ทอัพแบบที่อาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาอื่นๆ ก็มีเช่นเดียวกันซึ่งในเว็บไซต์นี้ก็จะได้มีการแนะนำสตาร์ทอัพกลุ่มต่างๆ มาให้รู้จักกันอย่างสม่ำเสมอ
แสดงความคิดเห็น