Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ทำไมอยู่สายวิทย์ แต่ตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนอักษรศาสตร์ ภาษาญี่ปุ่น

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
【ทำไมอยู่สายวิทย์ แต่ตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนอักษรศาสตร์ ภาษาญี่ปุ่น】
สวัสดีครับ "ฮันนาน" ครับผม โพสต์นี้อาจจะยาวนิดนึงนะครับ แต่พอดีอยากจะมาแชร์ว่าทำไมจู่ๆ ถึงตัดสินใจเปลี่ยนสาย อะไรดลบันดาลให้มาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นครับ

โดยโพสต์นี้จะเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นทุกอย่าง(จริงๆ อาจจะแอบย่อๆ บ้างนะ เพราะถ้าให้เล่าทุกอย่างเลยจริงๆ มันจะยาวมั้กๆ เขียนไม่หมด ฮา) จนตอนนี้สอบได้อักษรศาสตร์ จุฬา และได้คะแนนอันดับ 1 ของคนที่ยื่นเข้าอักษร ใช้ภาษาญี่ปุ่น

ช่องทางการติดต่อ มีอะไรสอบถาม DM มาได้เยยย....
IG: hunnan_48
FB: Hunnan Leesahud
Twitter: hunnan_2548
————————————
ต้องเล่าย้อนกลับไปก่อนว่า จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียนสายภาษาตั้งแต่แรก สมัยประถม ผมใฝ่ฝันที่จะเรียนในสายวิทย์นี่แหละ เพราะรู้สึกตัวเองก็เก่ง?? ในทางวิทย์-คณิตดี เลยตัดสินใจว่า ม.1 จะสอบเข้าโครงการ SMA ของ ญ.ว. ครับ

แต่จุดเปลี่ยนจุดแรกมันอยู่ตรงที่ พอเข้ามาเรียนจริงๆ แล้ว เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ!? ทำไมมันรู้สึกไม่ใช่หว่าา เหมือนมันไม่ใช่ตัวเอง แล้วจำได้เลยว่าวิชาที่ให้ทำ Lab คือแบบ ไม่เอาาาๆๆๆๆ ไม่ไหวจริงๆๆๆ คือไม่ใช่เรียนไม่ไหวนะ แต่มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่ตัวตนของเรา ผมไม่ได้รู้สึกมีความสุขอะไรขนาดนั้นกับการเรียนพวกวิชาเหล่านี้ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองมาผิดทาง รู้สึกว่าไม่เหมาะแล้วกับทางนี้

แต่ช่วง ม.ต้น มันก็ยังเด็กอยู่ละนะ ผมเลยไม่ได้สนใจเรื่องอนาคตขนาดนั้น ก็ทนๆ เรียนไป แต่ก็ไม่ได้คิดเรื่องจะเปลี่ยนสายอะไรเลย ก็เวลามันเหลืออีกเยอะเลยนี่นา แถมยังมีโควต้าเรียนต่อได้ถึง ม.6 เลยอีกด้วย ก็เลยคิดว่าเอาวะ อย่างน้อยเราก็เรียนๆ ไป อนาคตชั่งมันนน(เดี๋ยวสิ!?)
————————————
จุดเปลี่ยนครั้งที่สอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ผมมีทุกวันนี้ได้คือตอน ม.4 เทอม 1 ช่วงปลายๆ ครับ ตอนนั้นเห็นเพื่อนๆ รอบข้างเริ่มคิดแล้วว่าอยากจะเรียนต่อมหาลัย คณะอะไร แล้วพอลองกลับมามองตัวเองคือว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นคิดไว้ในใจแล้วว่า ให้ตายยังไงก็จะไม่ต่อคณะสายวิทย์แน่ๆ แต่ถ้าไม่ต่อคณะสายวิทย์แล้วเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ

ตอนนั้นผมก็เริ่มคิดละ ว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้บ้าง มีอะไรที่ตัวเองชอบหรืออยากจะลองเรียนดูสักครั้ง และตอนนั้นผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าผมชอบดูอนิเมะ และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะดูอนิเมะเป็นภาษาญี่ปุ่นรู้เรื่อง อยากอ่านนิยายญี่ปุ่นได้ คือตอนนั้นคิดแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้คิดเรื่องการทำงานอะไรเลยนะ คือคิดแค่สิ่งที่ตัวเองอยากจะลองทำดูสักครั้งแค่นั้น ทำให้ผมได้มาลองเรียนภาษาญี่ปุ่นครับ

เรื่องราวของการเรียนภาษาญี่ปุ่น ผมเคยเขียนทิ้งไว้เป็น My Diary ไว้ทั้งในเฟส กับ ig(กำลังทยอยอัพอยู่) มีประมาณ 15 กว่าตอน ค่อนข้างยาวมากๆ แต่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ลองไปติดตามดูกันได้ครับ

ถึงจุดเริ่มต้นจะแค่อยากจะดูอนิเมะ อยากจะอ่านนิยายให้ได้ก็จริง แต่พอมองย้อนกลับไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกว่า "ดีแล้วจริงๆ" ที่ตอนนั้นเริ่มเรียน เพราะนอกจากตอนนี้ผมสามารถดูอนิเมะกับอ่านนิยายเป็นภาษาญี่ปุ่นได้แล้ว ผมยังได้รู้จักเพื่อนๆ ที่เรียนญี่ปุ่นด้วยกัน ได้รู้จักคนญี่ปุ่นที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แถมยังได้รู้จักวัฒนธรรมประเทศเขามากขึ้น ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง อีกทั้งยังได้มุมมองใหม่ๆ ในการมองโลกใบนี้อีกด้วยครับ

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับคนที่จะเริ่มเรียนภาษาใหม่ๆ คือ "ไม่ต้องไปกลัว" ไม่ว่าจะเป็นความกลัวที่เราจะเรียนได้หรือปล่าว หรือจะเป็นความกลัวที่ถ้าเราเรียนภาษานี้ไปแล้วจะมีงานทำไหม อย่าไปกลัว!! เพราะเราจะได้อะไรกลับมามากกว่าที่เราคิดไว้มากๆ เหมือนกับการเปิดโลกใบใหม่ขึ้นมาเลยครับ
————————————
เอาล่ะ นอกเรื่องกันไปเยอะละ กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อครับ ถึงแม้ว่าผมจะตัดสินใจจะเรียนภาษาญี่ปุ่นแล้วก็จริง แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ได้ง่ายครับ ถ้าใครได้อ่าน "My Diary การเรียนภาษาญี่ปุ่น" ก็จะรู้กันดีว่า มีหลายจุดมากๆ ที่ผมรู้สึกท้อ แต่สุดท้ายผมก็ผ่านมันไปได้ครับ

ต้องบอกก่อนนะว่า ตอนช่วง ม.4 ผมยังไม่ได้มีความคิดที่จะเข้า "อักษรศาสตร์ จุฬา" นะ คือเอาจริงๆ ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคณะไหนเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง แล้วแถมยังไม่รู้ด้วยว่าต้องสอบวิชาอะไร ภาษาญี่ปุ่นที่เรียนไปต้องเรียนให้ได้ถึงขนาดไหน จึงจะสามารถสอบเข้ามหาลัยได้ พวกข้อมูลคณะพวกนี้ผมจะมาหาช่วง ม.5 ครับ

และพอมาถึงช่วง ม.5 ปีของผมมันติด Covid ด้วยล่ะนะ ส่วนใหญ่ก็เรียนอยู่แต่ที่บ้าน ผมก็เลยตัดสินใจอ่านภาษาญี่ปุ่นไปเลยครับ เรียนที่โรงเรียนช่างมันนน คือตอนนั้นคิดแต่ว่าเราวาง Goal ไว้แล้ว ว่าอยากจะเรียน อักษรจุ ไม่ก็ญี่ปุ่นของธรรมศาสตร์ ดูพวกวิชาที่ต้องสอบไว้หมดแล้วว่ามี "ไทย อังกฤษ สังคม ภาษาต่างประเทศอื่นๆ หรือคณิต (อันนี้เลือกอย่างใดอย่างนึงนะ)"

ซึ่งผมก็ตั้งมั่นกับตัวเองเลยว่าจะสอบด้วยภาษาต่างประเทศก็คือญี่ปุ่นนี่แหละ คณิตช่างมันนน ถึงจะเป็นสายวิทย์ก็เถอะ แต่มันจะทำไมล่ะะ เอาวะ ลองสักตั้ง เพราะไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ทำให้ตอนนั้นพอเรียนที่บ้านด้วย อันนี้แอบสารภาพตามตรงนะ วิชาที่ผมตั้งใจเรียนมีแค่วิชาที่ผมจะใช้สอบเท่านั้น วิชาพวกคณิต-วิทย์ เทหมดเลย คือไม่เรียนเลยสักนิด หยิบญี่ปุ่นขึ้นมาอ่านหน้าคอมอ่ะ 555
————————————
พอมาช่วง ม.6 มันต้องมาโรงเรียนแล้วแหละ แต่ผมก็ทำเหมือนเดิมครับ วิชาที่ไม่ใช้ก็จะไม่ฟังเลยสักนิด คือแอบอ่านญี่ปุ่นตอนที่ครูสอนอ่ะ พวกวิชาสายวิทย์-คณิต เทหมด ผมยังบอกเพื่อนผมเลยว่า วิชาพวกนี้ก็แค่ไม่ติด 0 ติด ร พอ เกรด 1 ก็เอา ตอนนี้ขอแค่อยากจบการศึกษา เพราะอยากจะไปเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ สักที

ตอน ม.6 ผมได้ทำเรื่องดรอปรายวิชาไปด้วยครับ คือ ฟิสิกส์ กับเคมี เพราะยังไงเราไม่ได้ใช้อยู่แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ดรอปได้ทุกตัวนะ คือพวกวิชาคณิต-วิทย์ บางตัวก็ต้องเรียนอยู่ แต่บอกเลยว่าผมไม่เรียนนน ไม่อ่านหนังสือสอบตอนกลางภาค ปลายภาคด้วยย คือตอนนั้นจำได้เลยนั่งอ่านญี่ปุ่นกับอังกฤษอยู่ ในขณะที่เพื่อนๆ อ่านวิชาวิทย์ (ฮา)

ต้องบอกไว้นิดนึงนะว่า การที่จะทำอะไรแบบนี้ แบบทิ้งการเรียนที่ รร เนี่ย เราต้องมีเป้าชัดเจนนะว่า เราอยากจะทำอะไร ถ้าแค่ไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้หาทางไว้ให้ตัวเอง แบบนี้ไม่แนะนำให้ทิ้งการเรียนที่ รร นะ แต่ในกรณีของผมคือมีเป้าอยู่แล้วว่า ไม่ว่าจะยังไงก็ตามจะต้องเข้าอักษรจุให้ด้ายยย เพราะในที่สุดก็เจอสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ แล้วทั้งที ถ้าจะให้มายอมแพ้แบบนี้ไม่เอาเด็ดขาด ดังนั้นพวกวิชาที่ผมคิดว่าไม่จำเป็น ผมเลยตัดสินใจทิ้งไปเลย เพื่อที่จะได้เอากำลังในส่วนนั้น ไปทุ่มกับสิ่งที่เราอย่างทำ สิ่งที่เราชอบจริงๆ
————————————

【ทำยังไงกับเสียงรอบข้าง อยู่สายวิทย์แท้ๆ จะมาเรียนภาษารอดเหรอ??】
ผมพูดกับตัวเองเลยว่า "ช่างมันน คนอื่นเกี่ยวอะไรด้วย ชีวิตเรา เราก็ต้องตัดสินใจเลือกเอง ไม่มีใครเป็นเจ้าชีวิตเรานอกจากตัวเราเอง"

แล้วถามว่าผมคุยกับครอบครัวยังไง บอกเลยว่า "ไม่คุย!!" (เอ้าา เดี๋ยวสิ) ใจเย็นๆ ค่อยๆ อ่านไปครับ คือที่ไม่คุยนี้หมายถึงว่าไม่คุยในช่วงแรกๆ นะ คือลองคิดภาพดูว่าถ้าเราไปคุยกับครอบครัวตอนที่เราพึ่งตัดสินใจเรียนภาษาญี่ปุ่นใหม่ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวก็อาจจะถามเราว่า "เอ้า แล้วจะเรียนไหวเหรอ กลับมาเรียนสายวิทย์เหมือนเดิมดีกว่าใหม่ งานก็มั่นคงกว่าด้วยนะ" คือคิดเลยว่าอาจจะต้องโดนพูดอย่างนี้กลับแน่ๆ

ผมเลยแสดงความตั้งใจของตัวเอง โดยแอบเรียนภาษาญี่ปุ่นไปสักพักนึง จนสามารถอ่านตัวภาษาญี่ปุ่น และพูดญี่ปุ่นได้ระดับนึงแล้ว ก็เลยตัดสินใจบอกครอบครัวไปว่าจะเปลี่ยนมาเรียนภาษานะ พอถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครเถียงอะไรเราได้อีกแล้วล่ะครับ เพราะเราแสดงความตั้งใจให้เขาให้แล้วว่า "เราทำได้!! เราอยากเรียนสิ่งนี้มากจริงๆ !!"

ส่วนผมทำยังไงกับเสียงคนรอบข้าง บอกตามตรงว่า ผมไม่สนใจเลยสักนิด ใครจะว่าอะไร ไม่สน อย่างที่บอกแหละว่านี่มันคือชีวิตผม มันคือทางเลือกของผม ลองคิดกลับกันดูนะ ถ้าเราสามารถพูดญี่ปุ่นได้ ทั้งๆ ที่อยู่สายวิทย์ มันจะสุดยอดขนาดไหนกันนน

แล้วคำถามที่ว่า "เรียนสายวิทย์มา แต่จะเปลี่ยนไปเรียนภาษา รอดเหรอ??" ผมทำมาแล้ว ทำไมมันจะไม่รอดล่ะ ไม่เชื่อลองไปอ่าน "My Diary การเรียนภาษาญี่ปุ่น" ของผมดูได้ ถึงแม้มันจะลำบาก ถึงแม้จะท้อแค่ไหน ขอแค่เราตั้งใจจริง และไม่ยอมแพ้ ยังไงก็ทำได้ครับ สู้ๆๆ
————————————

【เตรียมตัวยังไง??】
ญี่ปุ่น : เริ่มเรียนตั้งแต่ ม.4 เทอม 1 เรียนมาเรื่อยๆ จนวันสอบเข้ามหาลัย และหลังจากสอบเสร็จแล้วก็ยังเรียนอยู่จนถึงทุกวันนี้ การเรียนภาษามันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ แหละ แต่บอกไว้นิดนึงว่าใครจะมาอ้างว่า ก็ผมไม่มีเวลาเรียนญี่ปุ่นเหมือนพี่หนิ อยู่ ม.5 ม.6 เรียนก็หนัก งานก็เยอะ ห้ามอ้างงงเด็ดขาด ผมเรียนเนื้อหาญี่ปุ่นที่จะใช้สอบเข้ามหาลัยจบตั้งแต่ ม.5 ด้วยซ้ำ เคยอ่านหนังสือเรียนญี่ปุ่นเล่มนึง ทวนทั้งเล่มประมาณ 20 กว่ารอบ ทั้งๆ งานที่ รร ก็เยอะ ก็ทำมาแล้ว แต่ถามว่าทำไมผมยังไม่หยุดเรียน นั่นก็เพราะเป้าหมายที่อยากอ่านนิยายมันยังไม่สำเร็จก็แค่นั้นเอง

อังกฤษ : เริ่มอ่านจริงจังช่วง ม.5 ต้องบอกก่อนนะว่า ผมไม่ได้เป็นคนเก่งอังกฤษอะไรขนาดนั้น เผลอๆ แย่กว่าญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป แต่ก็พยายามอ่านมาตลอด จำศัพท์ทุกวัน พยายามหา Passage อังกฤษมาอ่านบ่อยๆ จะทำให้เราชินกับอังกฤษไปเองครับ

ไทย&สังคม : เริ่มเตรียมตอน ม.6 สังคมก็ค่อยๆ เก็บเนื้อหาไป ส่วนไทยก็พยายามหาข้อสอบมาทำเยอะๆ จะทำให้จับทางข้อสอบได้ครับ

รีวิวหนังสือที่ใช้สามารถไปดูได้ที่ช่อง "HunKung Diary" ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=F44joS85UOU&t=396s

————————————

【ส่งท้าย】
สุดท้ายนี้อยากจะบอกกับทุกคนว่า ถ้าเรามีเป้าหมาย ตัดสินใจได้แล้วว่าอยากจะเรียนอะไร อยากจะทำอะไร ก็ลองเลยครับ อย่ามัวแต่คิดว่าจะทำได้ไหม มันจะเวิร์คไหม ลองก่อนเลย เพราะถ้ามัวแต่คิด จะทำให้เราเริ่มช้า และยิ่งเสียเปรียบครับ เชื่อว่าทุกคนทำได้ถ้าตั้งใจจริง สู้ๆ ครับ

อีกอย่างคือ อย่าหักโหมจนร่างกายไม่ไหวนะ เพราะมันจะเป็นผลเสียมากๆ ยิ่งถ้าช่วงใกล้สอบด้วย เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองพยายามมาเยอะๆ นอนพักผ่อนไปมากๆ ทำตัวให้สบายก่อนเข้าห้องสอบครับ เอาจริงๆ ตอนช่วงสอบ A-Level ผมนั่งอ่านนิยายทั้งวันอ่ะ ไม่อ่านเนื้อหาที่จะสอบเลยด้วยซ้ำ (ฮา)

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น

WrChertin 29 พ.ค. 66 เวลา 14:50 น. 1

คล้าย ๆ พี่เลยที่แรกเริ่มเดิมที พี่เรียนสายภาษาแต่พอรู้ว่าเก่งพวกวิทย์คณิตด้วย เลยสายไปวิทย์คณิต แล้วกลายเป็นสอบติดเภสัชไปในที่สุด

0