Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

พ่ออยากให้เราเรียนแพทย์ แต่เราไม่อยากเรียน(มาก!)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เราเครียดมากกกกๆ พ่อไม่สนับสนุนให้เราเรียนในสิ่งที่เราชอบเราเป็นคนเรียนค่อนข้างดี
ได้รับรางวัลตลอด และพี่สาวเราเป็นคนที่เรียนไม่เก่ง ออกแนวเอ๋อๆด้วย
พ่อกับแม่เลยคาดหวังเราเป็นพิเศษ (เพราะพี่เราคงหวังพึ่งอะไรไม่ได้)
พ่อเลยอยากให้เราเป็นหมอ ตอนเด็กๆเราก็เออออๆไป เพราะไม่ได้คิดอะไร
เห็นเพื่อนอยากเป็นหมอกันเยอะ ก็เอาบ้างวุ้ย เย่ๆ แต่พอเราโตขึ้นๆ เราว่าเราโง่ขึ้นเรื่อยๆ
จนเราคิดได้ว่าหมอนี่มันเหนื่อยนะ เรียนก็ยากและถึงเราจะเรียนเก่งแต่เราว่า
ความสามารถของเราไม่น่าถึงพอจะเรียนหมอได้

และเขาก็ค้นพบว่าตัวเองเป็นเบี้ยน #ไม่ใช่ เราค้นพบว่าเราอยาก
เป็นมัคคุเทศก์ หรือไกด์ นั่นแหละ เราอยากเป็นไกด์มาตั้งแต่เราม.2 จนตอนนี้เราอยู่ม.6
ซึ่งมันคือเวลาที่เราจะต้องเลือกคณะ เพื่อเข้าเรียนมหา’ลัยเรายิ่งเครียดหนักเลย
ลองปรึกษาเพื่อนมันก็บอกว่าให้ลองคุยกับพ่อดีๆเพื่อจะอนุญาต เราก็ลองหยั่งๆเชิงถามอ้อมๆว่า

‘ถ้าหนูไม่ได้เป็นหมอพ่อจะโอเคมั้ย?’

พ่อก็ไม่พูดไรนะ แต่สาธยายว่าหมอน่ะดี
ได้เงินเยอะ อาชีพมั่นคง บลาๆๆๆๆๆๆ คือเราเข้าใจพ่อแหละว่าพ่ออยากให้เรา
ทำงานดีๆมีอนาคต แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เราไม่ได้รัก ต่อให้เรามีเงินล้นฟ้าเราว่า
เราก็คงไม่มีความสุขแน่ๆ

เราเลยเว้นระยะห่างๆ แล้วชวนพ่อคุยเรื่องที่เราจะเรียนคณะอะไร เราก็พูดเป็นเชิงๆว่า
เออ หนูอยากลองเรียนพวกด้านท่องเที่ยวอะไรงี้ พ่อก็แบบ…หน้าตึงไปเลยอ่ะ

ถามเรากลับว่าอยากเป็นแอร์ฯหรอ ทั้งพูดต่อว่าแอร์ฯดีตรงไหน ก็ไม่ต่างอะไรจาก
พวกเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารหรอหรอก แค่เปลี่ยนสถานที่ไปบนเครื่องบิน บลาๆๆๆๆๆ

เราก็ตอบไปว่า เปล่า ไม่ได้อยากเป็นแอร์ แค่อยากลองเรียนด้านนี้ดู

พ่อก็พูดประมาณว่า อืม อยากเรียนไรก็เรียนเลย พ่อไม่ซีเรียส ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้

แต่หน้าพ่อตอนพูดนี่แบบ….เสียงประชดประชันมาก หน้าก็ตึงๆเหมือนโมโหเราด้วย
จนครั้งที่สาม พ่อถามเราว่า สรุปเลือกหรือยังว่าจะเรียนอะไร อยากเป็นอะไร
เราไม่กล้าตอบเพราะมีเหตุการณ์ก่อนหน้าเป็นบทเรียน เรารู้ว่าเราตอบว่าอยากเป็นไกด์พ่อจะโมโหแน่ๆ
เราก็เลยบอกไปว่า ยังไม่ได้คิดเลย พ่อเงียบไป แล้วซักพักก็พูดออกมาว่า

ถ้าไม่มีจุดหมายในชีวิตก็ไม่ต้องเรียนเลย ดีมั้ย?

คือเราเสียใจมากกกกกกกกก เราร้องไห้หลายครั้งเพราะเรื่องนี้ จนครั้งนี้มันสุดๆแล้วอ่ะ
ร้องจนตาบวม ไม่กล้าปรึกษาแม่ (เพราะแม่ก็อยากให้เราเรียนหมอ) พอไปปรึกษาเพื่อน
มันบอกมาอีกว่าให้ลองคุยดีๆ สุดท้ายเราก็ร้องไห้อีก

ก่อนหน้านี้พ่อก็ชอบยัดเยียดให้เราเป็นหมอตลอด เช่น เวลาเราเจอพวกคฤหาสน์
เราก็จะพูดประมาณว่า อยากได้บ้านแบบนี้จังงง พ่อก็จะแทรกเลยว่า
ก็เป็นหมอสิ หมอรวยมีบ้านแบบนี้ซักสิบหลังก็ยังได้ หรือเราบ่นอยากไปดูคอนเสิร์ต
SS6 (ของศิลปินเกาหลี) อยากดูบัตรแพงสุด พ่อก็จะพูดว่าถ้าสอบหมอได้พ่อจะซื้อบัตรให้
และอีกมากมาย ที่เล่าสามหน้าก็ไม่จบ

เราควรทำไงดีTOT นี่ก็จะต้องสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว เรายังไม่รู้จะเข้าคณะอะไรดี
คือจริงๆเรามีคณะในใจไว้แล้ว (พวกคณะที่เกี่ยวกับด้านท่องเที่ยวนั่นแหละ)
แต่พ่อเราไม่ให้แน่ๆ เราทำใจเผื่อๆไว้ว่าคงต้องเรียนหมอ (ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะสอบติดมั้ย ถถถถถถ)
แต่ถ้าเกิดฟลุคสอบติด เราตายแน่ๆ เรากลัวผี เราไม่กล้าเรียนแน่นอน
เรียนไปก็ไร้ความสุข

แสดงความคิดเห็น

7 ความคิดเห็น

เฟรม 25 ก.ย. 57 เวลา 18:44 น. 1

เราก็เป็นนะ พ่อแม่อยากให้เราเป็นหมอ แต่เราไม่ค่อยอยากเป็นอ่ะ = = เราอยากเรียนด้านภาษาแบบเอกอังกฤษไรงี้มากกว่าเพราะเราถนัด เหมือนเธอเป๊ะก็ตรงที่ว่าเวลาเจอบ้านสวยๆก็พูดลอยๆว่าเออบ้านนี้สวยดีนะ พ่อแม่จะบอกว่าเป็นหมอสิแล้วจะได้ซื้อ ประจำเลยค่ะ แม่เราบอกว่าไม่ได้บังคับแต่อยากให้เป็น แต่เรารู้สึกเหมือนโดนบังคับ จขกท.ก็ลองพูดดีๆอีกสักรอบ ถ้าเขาไม่ยอมก็พูดตรงๆเลยค่ะ ว่าอยากเป็นไกด์ไม่ได้อยากเป็นหมอ เพราะถ้าเราฝืนเรียนในสิ่งที่เราไม่ชอบเราจะไม่มีความสุข เลือกเรียนสิ่งที่ชอบอย่างมีความสุขที่กว่านะ สู้ๆค่ะ.
สู้สู้

0
-FightinG- 25 ก.ย. 57 เวลา 18:54 น. 2

อันไหนชอบก็เรียนเถอะค่ะ ^^

พ่อกับแม่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนแต่อาจจะอาบมาคนละอ่างกับทางเราเรียนก็ได้นะ
เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ เลือกเรียนในสิ่งที่ใช่เลยค่ะ เพราะถ้าไปเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบถึงเงินเยอะแค่ไหนก็ไม่สุขหรอกค่ะ ถนัดด้านไหนเก่งทางไหนก็เอาทางนั้นไปเลยค่ะ ^^

จบมามีงานทำทั้งนั้นแหละ อยู่ที่เรา เลือกงานรึป่าวเรื่องมากรึป่าว นู้นนี่นั่นรึป่าว งานอ่ะมีรอให้คนไปทำเยอะแยะไป ไม่ว่าคณะไหนก็ต้องมีสายอาชีพในตัวอยู่แล้วค่ะ ไม่มีคณะไหนที่สอนไปโดยไม่มีประโยชน์ในอนาคตหรอกค่ะ ^^

ปล.จะทนเรียนสิ่งที่ใจไม่รักไหวเหรอ เลือกเรียนในสิ่งที่รักจริงๆมันจะทำให้เรามีพลังที่จะต่อสู้และฝ่าฟันเพื่อมัน
ปล2.สู้ๆนะคะ >< ลองคุยกันดูนะคะ จขกท.
ตั้งใจ

0
รักนะแก แค่นี้จบ 25 ก.ย. 57 เวลา 19:20 น. 3

แม่เราอยากให้เป็นครู แต่เราอยากเป็นวิศวะกร คือแบบแรกพบสบตาใช่เลย แม่ก็แบบจะชอบพูดนั่นและเป็นครูมันดีนะบลาๆ เราก็ฟังแต่ไม่ทำตามอิอิ  ฉันก็รักของฉันเข้าใจบ้างมั๊ยยยย 
กรีดร้องอย่างโหยหวน พอเถอะ=_= เป็น จขกทนี่ลำบากนะเนี่ย เราว่าพ่อเธอน่าจะแค่โมโหคือไม่พอใจเพราะเขาหวังไว้สูงแต่ไม่ถึงกับไม่ให้เรียนนะ เอาเป็นว่าเราสนับสนุนให้ทำตามสิ่งที่ชอบนะคะ 

0
doltarap 25 ก.ย. 57 เวลา 19:48 น. 4

น้องต้องแสดงวามตั้งใจอย่างแรงกล้า
หนักแน่น หยุดพูดเล่นลองเชิงได้แล้ว
เพราะแทบไม่เหลือเวลาแล้ว
นี่คือโอกาสสุดท้าย
ถ้าพลาดน้องอาจเสียใจไปตลอดชีวิต
ประเทศไทยไม่พัฒนาก็เพราะคนมีความคิดแบบพ่อน้องนี่แหละ
ที่ถูกคือ "ทุกสาขาอาชีพ ต้องการคนเก่งไปพัฒนา"
และยังต่อยอดในสิ่งที่เรารักไปได้อีกไกล แต่พ่อน้องมีโลกทรรศน์แค่นี้ เขาเลยมีธีคิดได้แค่นี้

0
Shalnark Diabolus 26 ก.ย. 57 เวลา 14:34 น. 6

ถามพ่อว่า "ถ้าเป็นหมอแล้วคนไข้อาการทรุดหรือว่าตายล่ะ" เพราะมันคือความเสี่ยงที่หมอต้องแบกรับครับ ทุกวิชาชีพมีความเสี่ยงที่จะต้องแบกรับแต่คนส่วนใหญ่มักไม่มองจุดนั้นตอนที่ทำการเลือกวิชาชีพ จะมองก็แต่ "จบมามีงานทำมั้ย" "จบมาเงินดีมั้ย" "จบมามีชื่อเสียงมั้ย" และที่สำคัญ...ถึงเป็นหมอแต่ถ้าไม่เก่งระดับที่คนทั่วประเทศแห่มาหาก็ไม่มีปัญญาสร้างคฤหาสหรอกครับ นอกซะจากว่ามีเงินทองมากองรอตั้งแต่ก่อนจะเป็นหมออยู่แล้ว จะเป็นหมอ วิศวะ ครู หรืออาชีพอะไรก็ตามที่คนเค้ายกยอปอปั้นว่ามีเกียรติน่ะ เอาจริงๆตราบเท่าที่ยังต้องทำงานทั้งเดือนเพื่อรอรับเงินเดือนอยู่มันก็ลูกจ้างอยู่ดีนั่นละ จะใส่หัวโขนใหญ่โตแค่ไหนลูกจ้างก็คือลูกจ้าง ไม่มีคำว่า "ร่ำรวย" เกิดขึ้นมาได้หรอกครับถ้ายังเป็นลูกจ้างอยู่ เพราะชื่อของรายรับมันก็บอกอยู่แล้วว่า "เงินเดือน" แปลว่ามันก็พอที่จะใช้อยู่ใช้กินไปเดือนๆนึง เงินเดือนมากเงินเดือนน้อยไม่ต่างกันเพราะระดับการใช้ชีวิตของคนมันก็แปลผันตามระดับเงินเดือน เต็มที่ก็ได้แค่มีระดับการใช้ชีวิตที่ดี แต่ยังไงก็ไม่ถึงระดับที่จะเรียกว่าสุดยอดแน่นอนเพราะตราบที่เป็นลูกจ้างก็สามารถถูกปลดออกสถานะการเงินกลายเป็น0(หรือติดลบ)ได้ทุกเมื่อ(เป็นความเสี่ยงที่มองไม่เห็นและคนทั่วไปมักไม่สนใจจะมองให้เห็น)

0
noo-na 28 ก.ย. 57 เวลา 17:15 น. 7

  พอเข้าใจนะ ว่าการพูดดีๆกับพ่อแม่ในเรื่องที่เค้าคาดหวังในสิ่งที่เราไม่อยากเป็นมันยาก 

  ถ้าไม่ไหว เถียงไม่ทัน (ขอใช้คำนี้แล้วกันนะ ถึงจะบอกว่าคุยกันด้วยเหตุผลก็เถอะ เวลาพ่อแม่ใส่ๆ ความคิดของเค้ามา แค่จะอ้าปากตอบบางทียังไม่มีสิทธิ์เลย..//ความรู้สึกส่วนตัว ข้ามมันไปซะเถอะ) ลองเขียนเป็นลงกระดาษดู ว่าถ้าเรียนหมอเเล้วคิดว่าอนาคตจะเป็นยังไง ชีวิตที่เหลือทั้งชีวิตจะอยู่กับมันได้มั้ย เพราะอะไร แล้วถ้าเราได้เป็นไกด์ เรามีแผนจะดำเนินชีวิตยังไง เรียนอะไร ต่ออะไร หางานทำยังไง รายได้ประมาณไหน (หาข้อมูลให้พ่อแม่รู้ว่าเราสนใจด้านนี้จริงๆ และอาชีพนี้มันมีอนาคต มันเลี้ยงตัวได้ เลี้ยงดูพวกเค้าตอนแก่ได้ถ้าจำเป็น)

  หมอไม่ใช่อาชีพที่รวยที่สุด (ถึงจะติดอันดับ แต่ถ้าไม่มีเวลาใช้เงินจะมีประโยชน์อะไร)

  หมอไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงที่สุด (เพราะ-ส่วนการฟ้องร้องหมอกำลังเพิ่มขึ้นทุกปี)
 
  หมอไม่ใช่อาชีพที่สบาย (อย่าให้คำว่าเรียนหนักแล้วโตไปจะสบายมาบังตาเรา ..เพราะเรียนหมอเท่ากับเรียนตลอดชีวิต)

  ถ้าไม่ได้มีใจรัก หรือไม่มีอาชีพอื่นอยู่ในใจอยู่แล้ว ก็อย่าเลือกเลย

ปล. ถ้าคิดว่าคุยกับแม่ง่ายกว่าก็ลองเขียนให้แม่ดูก่อนก็ได้ (เก็บฉบับ copy ไว้อีกฉบับ)

ปล2. หรือจะหักดิบเอาตอนสอบ คือสอบไม่ให้ติดแพทย์ซักคณะเลย แล้วก็ยื่นเข้าคณะ...ไปเลย (แต่อันนี้ต้องให้ จขกท. ประเมินเองนะ ว่าที่บ้านจะมีปฏิกิริยายังไง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากแนะนำวิธีนี้ซักเท่าไหร่) 

ปล3. ณ ขณะนี้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ถามว่าถึงว่าถึงเวลาอยู่กับอาชีพนี้ได้มั้ย ก็คงต้องตอบว่าได้ (ถอยไม่ได้แล้วนิ) แต่มีความสุขมั้ย ...มันก็บอกยากนะ บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยมากกกกกกกกกกกก แต่ไม่ตั้งใจก็ไม่ได้ ชีวิตคนอื่นทั้งนั้น 

0