อุตสาหกรรมปุ๋ย (Test !!!)
ตั้งกระทู้ใหม่
(ปล. กระทู้นี้อ่านไปอย่า นะลูก เดี๋ยวหลุด.......)
อุตสาหกรรมปุ๋ย
อย่างแรก เราต้องมารู้จักกันก่อนว่าปุ๋ยนั้นคืออะไร ???
ปุ๋ย คือ สารที่ใส่ลงไปในดิน เพื่อเพิ่มธาตุอาหารซึ่งมีอยู่ในดินไม่เพียงพอ จนพอแก่ความต้องการของพืช เพื่อพืชจะได้เจริญเติบโตงอกงามและให้ผลผลิตสูง (นิยามทั่วไปจร้า ^^)
ปุ๋ย ตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ. 2518 หมายความถึง สารอินทรีย์หรือสารอนินทรีย์ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือสังเคราะห์ขึ้นก็ตาม สำหรับใช้เป็นธาตุอาหารพืชได้ ไม่ว่าโดยวิธีการใดหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดินเพื่อบำรุงความเจริญเติบโตของพืช (เริ่มเป็นหลักการแระ 0.0)
ปุ๋ย หรือ fertilizer มาจาก fertile (เฟอร์ไทร์) หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยลงในดินก็เพื่อเพิ่มปริมาณธาตุอาหารแก่พืช โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งพืชยังขาดอยู่ให้ได้รับอย่างเพียงพอ ช่วยให้พืชเจริญเติบโตงอกงาม พร้อมที่จะให้ผลผลิตมีคุณภาพและได้ปริมาณสูง (อินเตอร์ซะหน่อย = =*)
เอ๊ะ !!!! เมื่อกี้นี่ ถ้าอ่านจากย่อหน้าที่3 จะเจอคำว่า "ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซียม" (มองไม่เห็นนี่คงจะตาบอดสีเอาได้นะ) เรามารู้จักกันซะหน่อยดีกว่าว่าธาตุทั้งสามตัวนี่มันคืออะไร..... (ไม่รู้ว่าใครเอามันเข้ามา....????)
ธาตุไนโตรเจน
พืชโดยทั่วไปมีความต้องการธาตุไนโตรเจนเป็นจำนวนมาก ไนโตรเจน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกรดอะมิโน ซึ่งประกอบขึ้นเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในพืช ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว พืชที่ได้รับธาตุไนโตรเจนอย่างเพียงพอจะมีใบสีเขียวสด แข็งแรง โตเร็ว ให้ดอกและผลที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะพวกผักที่รับประทานใบ ถ้าได้ธาตุไนโตรเจนมากจะทำให้อวบ กรอบ มีเส้นใยน้อยและมีน้ำหนักดี ในกรณีที่ขาดธาตุไนโตรเจน พืชจะแคระแกรน ใบเหลืองผิดปกติและเ่ยวเฉา ออกดอกและผลช้า ในดินทั่วๆไปมักมีธาตุไนโตรเจนไม่เพียงพอจึงต้องใส่ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนลงไป ซึ่งจะไปช่วยเร่งให้ต้นและใบเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าพืชได้รับธาตุไนโตรเจนมากเกินไปอาจจะเกิดผลเสีย เช่น ทำให้อวบน้ำมาก ลำต้นอ่อนล้มง่าย โรคและแมลงเข้ารบกวนหรือทำลายง่าย เป็นต้น
(ใบเหลือง....สำหรับคนชอบบอล) (ใบเหลือง..ใบไม้จริงๆแล้ว)
ธาตุฟอสฟอรัส
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสารประกอบพวก nucleoprotein และ phospholipids สารประกอบทั้งสองนี้เป็นส่วนของโครงสร้างของโปรตีนและเซลล์พืช ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของฟอสเฟต เช่น H2PO4- และ HPO42- โดยละลายน้ำในดิน พืชต้องการธาตุฟอสฟอรัสน้อยกว่าธาตุไนโตรเจน แต่ในดินมักมีธาตุฟอสฟอรัสหรือฟอสเฟตที่ละลายน้ำได้ ไม่เพียงพอ จึงต้องใส่ปุ๋ยที่มีธาตุฟอสฟอรัส ถ้าพืชได้รับธาตุฟอสฟอรัสเพียงพอจะมีระบบรากที่แข็งแรง แพร่กระจายอยู่ในดินอย่างกว้างขวาง ทำให้พืชสามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้ดี การออกดอกและผลจึงเกิดเร็ว ในกรณีที่ขาดธาตุฟอสฟอรัสพืชจะแคระแกรน ใบมีสีเขียวคล้ำ รากจะชะงักการเจริญเติบโต ทำให้ไม่ออกดอกและผล
(ข้าวที่มีรากพัฒนาไม่เต็มที่จึงลักษณะแคระแกรน)
ธาตุโพแทสเซียม
โพแทสเซียม เป็นธาตุที่จำเป็นในการสร้างแป้ง และช่วยให้ใบมีประสิทธิภาพในการดูดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีส่วนร่วมในการสร้างคลอโรฟิลล์ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของรากและหัว สร้างเนื้อไม้ที่แข็งของลำต้น และทำให้ผลไม้มีรสหวานคุณภาพดี เส้นใยน้อย แต่ถ้าพืชขาดธาตุนี้ เมล็ดจะลีบและมีน้ำหนักเบาผิดปกติ หากเป็นไม้ผลเนื้อไม้จะฟ่าม รสชาติกร่อย ลำต้นแคระแกรน พืชจะใช้ธาตุโพแทสเซียมได้เมื่ออยู่ในรูปของไอออน K+ เท่านั้น ถ้าอยู่ในรูปอื่นๆ ที่ไม่ได้แตกตัวเป็น
(ลักษณะของลำต้นพืชที่ขาดโพแทสเซียมขนแคระแกรน)
อ่านแล้วเราอาจรู้สึกงงงง?? (ยิ่งอ่านก็ยิ่งสับสนในตัวเอง ดังนั้นจะสรุปให้ฟังนะ ทริคในการจำ)
ไนโตรเจน = เติบโตไม่ดี ระวังมีใบสีเหลือง (ถ้าขาดนะ)
ฟอสฟอรัส = รากผมดูดน้ำดี เลยมีดอกและผลไว
โพแทสเซียม = ขาดคลอโรฟิลส์วันนี้ คงมีอาหารอร่อยดีอยู่ไม่มาก
(อย่าคิดว่ามันไร้สาระนะ เผื่อมีออกสอบ 555+)
ว๊า...นอกเรื่องมามากแระ (ขอนอกเรื่องต่อหน่อยรึกัน.....)
ปุ๋ยที่เราพบตามท้องตลาดนั้นมีทั้งปุ๋ยอินทรีย์(จากธรรมชาติ)และปุ๋ยเคมี(ที่ได้จากการสังเคราะห์ขึ้น) ซึ่งจะบอกไปให้คนทั่วไปใช้ยังไงก็ต้องเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์อยู่แล้ว (ใครๆก็ชอบของOrganic !!!! ทั้งนั้น โดยเฉพาะป้าๆที่รักษาสุขภาพ) เราจึงต้องขอบอกกล่าวให้ทราบถึงข้อดีและข้อเสียของปุ๋ยทั้งสองประเภทว่ามันดีอย่างไร ???
ข้อดีและข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์- ปุ๋ยเคมี
ข้อดีของปุ๋ยอินทรีย์ | ข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์ |
1. ช่วยปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น | 1. ปริมาณธาตุอาหารต่ำ |
2. อยู่ในดินนาน (ค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหาร) | 2. ใช้เวลานานกว่าจะเป็นประโยชน์ |
3. ส่งเสริมปุ๋ยเคมีให้เป็นประโยชน์ดีขึ้น | 3. ราคาแพงต่อหน่วยธาตุอาหารพืช |
4. ส่งเสริมสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ในดิน | 4. หายาก |
5. มีจุลธาตุ |
ข้อดีของปุ๋ยเคมี | ข้อเสียของปุ๋ยเคมี |
1. มีปริมาณธาตุอาหารสูงมาก (ใช้นิดเดียวก็เพียงพอ) | 1. ปุ๋ยพวกแอมโมเนียมทำให้ดินเป็นกรด |
2. ราคาถูก | 2. ไม่มีคุณสมบัติปรับปรุงดิน |
3. หาง่าย | 3. มีความเค็ม |
4. ใช้ง่าย | 4. การใช้ต้องการความรู้พอสมควร |
5. ให้ผลเร็ว |
เหอะๆ รู้ถึงข้อดีขอเสียกันแล้วใช่ไหมล่ะ ??? (ที่นี่เรามาเข้าเนื้อหาของเรากันเลยดีกว่า)
ในการผลิตปุ๋ยเคมีนั้นเราจะมาแนะนำถึงกระบวนการทำปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตว่ามันทำอย่างไรถึงจะได้ปุ๋ยชนิดนี้ !!!!
การผลิตปุ๋ยยูเรีย(NH2CONH2)
เตรียมได้จากปฏิกิริยาระหว่างแก๊ส NH3 กับแก๊สCO2 โดยใช้อุณหภูมิประมาณ 180-210 องศาเซลเซียส และความดัน 140-250 บรรยากาศ จะได้แอมโมเนียมคาร์บาเมต (NH2CONH4) กับน้ำ ดังสมการ
2NH3 (g) + CO2 (g) → NH2CONH4 (aq)
NH2CONH4 (aq) → NH2CONH2 (aq) + H2O (l)
NH3 กับ CO2 เตรียมได้จากก๊าซธรรมชาติ
NH3 เตรียมจาก N2 และ H2ในอากาศ โดยนำอากาศมากลั่นลำดับส่วน คือ ลดอุณหภูมิลงมากๆ พร้อมกับเพิ่มความดันจนอากาศกลายเป็นของเหลว
เริ่มต้นเตรียม N2 ทำให้อากาศกลายเป็นของเหลวทั้งหมดก่อนโดยการลดอุณหภูมิลงมากๆ และเพิ่มความดันสูงๆ จากนั้นนำอากาศเหลวซึ่งมี N2 และ O2 เป็นส่วนใหญ่มากลั่นลำดับส่วนแยกออกจากกัน N2 ซึ่งมีจุดเดือดต่ำกว่า O2 จะแยกออกมาก่อนแล้ว O2 จึงกลั่นออกมา ภายหลัง
การเตรียม H2ในกรณีที่มีก๊าซปิโตรเลียมหรือก๊าซธรรมชาติ โดยนำ O2 ที่ได้จากการกลั่นลำดับส่วนอากาศมาทำปฏิกิริยาดังสมการ โดยใช้ภาวะที่เหมาะสมและใช้ Niเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จะได้ H2 และCO2
Ni
Ni
2CH4 (g) + O2 (g) → 2CO (g) + 4H2 (g)
หรืออาจใช้ไอน้ำทำปฏิกิริยากับก๊าซ CH4 โดยตรง จะได้ก๊าซ COและH2 เช่นเดียวกัน
Ni
CH4 (g) + H2O (g) → CO (g) + 3H2 (g)
Ni
CH4 (g) + H2O (g) → CO (g) + 3H2 (g)
เมื่อแยกก๊าซ H2ออกจากก๊าซผสมแล้ว จึงนำก๊าซ COที่เหลือไปทำปฏิกิริยากับก๊าซ CH4 อีกภายใต้อุณหภูมิสูง และมีตัวเร่งปฏิกิริยาเหมาะสม จะได้ก๊าซ CO2 และH2
FeO, Cr2O3
ก๊าซผสมทั้งหมด (CO+H2) สามารถแยกออกจากกันได้โดยผ่านเข้าไปในหอคอยที่มีน้ำพ่นลงมา ก๊าซCO2 ละลายน้ำได้ เกิดเป็นกรด H2CO3 ไหลออกทางส่วนล่างของหอคอยพร้อมกับน้ำ
CH4 (g) + CO (g) → CO2 (g) + H2 (g)
ก๊าซผสมทั้งหมด (CO+H2) สามารถแยกออกจากกันได้โดยผ่านเข้าไปในหอคอยที่มีน้ำพ่นลงมา ก๊าซCO2 ละลายน้ำได้ เกิดเป็นกรด H2CO3 ไหลออกทางส่วนล่างของหอคอยพร้อมกับน้ำ
CO2 (g) + H2O (l) → H2CO3 (aq)
สำหรับก๊าซ H2 ซึ่งไม่ละลายน้ำจะผ่านขึ้นไปออกทางส่วนบนของหอคอย เก็บไว้ทำปฏิกิริยากับ N2 เพื่อเตรียมก๊าซ NH3 ต่อไป สำหรับกรดH2CO3 นำไปแยกสลายให้กลับมาเป็นก๊าซ CO2ได้ โดยนำ H2CO3 ไปลดความดันและเพิ่มอุณหภูมิ
เพิ่มอุณหภูมิ
H2CO3 (aq) → CO2 (g) + H2O (l)
ลดความดัน
ก๊าซ N2 ที่เตรียมจากอากาศ และ H2 ที่ได้จากก๊าซธรรมชาตินำมาทำปฏิกิริยากันจะได้ NH3 เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาที่มีภาวะสมดุลจึงต้องเลือกภาวะที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ก๊าซ มากที่สุด โดยทั่วๆไปใช้อุณหภูมิประมาณ 300 องศาเซลเซียส 350 บรรยากาศ และใช้ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เมื่อนำก๊าซ NH3ไปทำปฏิกิริยากับก๊าซCO2 จะได้ปุ๋ยยูเรีย
ก๊าซ N2 ที่เตรียมจากอากาศ และ H2 ที่ได้จากก๊าซธรรมชาตินำมาทำปฏิกิริยากันจะได้ NH3 เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาที่มีภาวะสมดุลจึงต้องเลือกภาวะที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ก๊าซ มากที่สุด โดยทั่วๆไปใช้อุณหภูมิประมาณ 300 องศาเซลเซียส 350 บรรยากาศ และใช้ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เมื่อนำก๊าซ NH3ไปทำปฏิกิริยากับก๊าซCO2 จะได้ปุ๋ยยูเรีย
CH3 (g) + CO2 (g) → NH2CONH2 (s) + H2O (l)
นอกจากนี้ ถ้าใช้ถ่านหินลิกไนต์เป็นวัตถุดิบแทนก๊าซธรรมชาติ จะเตรียมCO2 และ H2 ได้โดยการเผารวมกับ O2 จะได้ CO2 ,CO , H2
เมื่อแยกก๊าซอื่นๆที่ไม่ต้องการ เช่น H2S และNO ออกไปแล้วจึงทำให้ CO กลายเป็นCO2โดยนำก๊าซผสมไปทำปฏิกิริยากับไอน้ำที่ความดันสูงๆ และมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่เหมาะสม COจะรวมตัวกับ H2O ได้เป็น CO2 และ H2
หลังจากได้ก๊าซผสม CO2 และ H2 แล้ว กระบวนการต่อๆไป สำหรับเตรียมปุ๋ยยูเรีย จะเหมือนกับกรณีที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบแก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 18:28
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 18:39
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 19:01
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 19:20
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 19:23
แก้ไขครั้งที่ 6 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 19:29
แก้ไขครั้งที่ 7 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 20:25
แก้ไขครั้งที่ 8 เมื่อ 19 กันยายน 2554 / 20:27
5 ความคิดเห็น
ดีมากเลยนะ
เยี่ยมกำลังต้องการพอดี ขอบคุณค่ะ
PS. ...ผู้ที่บอกว่าความรักคือสิ่งที่หอมหวาน คือคนที่ไม่รู้จักความรัก ผู้ที่บอกว่าความรักคือสิ่งที่น่าเกลียด คือคนที่โอ้อวดว่าตนรู้จักความรัก...
เยี่ยมมากๆเลยคะ
อืมก็ดัีค่ะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?