Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิว : แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ญี่ปุ่น กับ TJYEC Ep.4 ย่างก้าวที่รอคอย

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
     ความเดิมตอนที่แล้ว : หลังจากที่นักเรียนทั้ง 20 คนได้สอบผ่าน และเข้าค่ายที่ทาง TJYEC จัดให้เพื่อเตรียมความพร้อม ในการเป็นตัวแทนนักเรียนไทยในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 10 วัน เมื่อทุกคนได้ฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะมากมายแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะก้าวสู้ฝันของพวกเขาทั้ง 20 คน พวกเขาจะต้องพบกับอะไรต่อไป ติดตามต่อได้ใน
 
รีวิว : แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ญี่ปุ่น กับ TJYEC Ep.4 ย่างก้าวที่รอคอย
(จะเกริ่นให้อลังการเพื่อ!?)






Minnasan Konnichiwa
และแล้วก็ต้องกล่าวคำว่า สวัสดีครับ พี่น้องชาว Dek-D ทุกคน
ก่อนอื่นเลย จริงๆ ผมกำลังจะถอดใจไม่ทำต่อแล้ว แหะๆ แต่พอเห็นว่ายอดเข้าชมพุ่งขึ้นสูงเกินคาด เลยทำให้มีกำลังใจทำต่อครับ ต้องขอขอบพระคุณ ทุกๆ คนที่ติดตามเรื่องราวของผมและผองเพื่อนมาจนถึง Ep. นี้ “รักทุกคน~”

 
และต้องขออภัยสำหรับ ความล่าช้าใน EP นี้ เนื่องจาก ไฟล์ที่พิมพ์ไว้มันหายจร้า T-T จึงต้องจะพิมพ์ใหม่อีกรอบ


เชื่อหมือไร่ (เดี๋ยวๆๆ) เชื่อหรือไม่!!! ถ้าคณะนี้ขาดใครไปซักคนเดียว
อาจจะ
ทำให้การไปญี่ปุ่นคงนี้ล่มก็เป็นได้ครับ เพราะทุกคนไม่ว่าจะทีมงาน อาจารย์ ผู้ปกครองนักเรียน หรือแม้แต่ตัวนักเรียนทั้ง 20 คนเองก็จำเป็นต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างครับ ยกตัวอย่างเช่น น้องเติ้ล คนนี้เป็นคนออกแบบและทำป้ายห้อยคอครับ Design เก๋ไก๋ มาก คือเห็นแล้วรู้สึกถูกโฉลก หรือจะเป็นมิ้น คนที่ติดต่อครูนาฏศิลป์ ขอยืมชุดไทยและโจงกระเบน กับ อ.สอนญี่ปุ่นของโรงเรียนดังย่านบางเขน อ.น้ำหวาน ที่คอยดำเนินการด้านเอกสารเพื่อยืมสิ่งของต่างๆ ซึ่งหน้าที่ผมนี่ เบ็ดเตล็ด ซื้อของไปจนถึงงาน Sound Engieering คือ ต้องซื้อกลองยาวขนาดเล็ก 20 ตัว (แล้วไปซื้อถึงอยุธยา โชคดีคุณพ่อขับรถไปซื้อครับ) แล้วก็งานตัดต่อเสียง เตรียมไฟล์เสียง ตัดต่อภาพ เรียงเอกสาร  แก้ไฟล์ แปลงไฟล์ ยังไม่พอ ตบท้ายด้วย 2 สุดท้ายก่อนไปญี่ปุ่น คือไปซื้อกรอบป้ายห้อยคอ ปริ้น แล้วตัดใส่กรอบ  5555  (เข้าใจล้ะว่าทำไมคนเรียกผมว่าเบ๊) แต่ก็ดีครับ ได้เรียนรู้เทคนิกในการปรับปรุงเสียงใหม่ๆ เยอะเลย

เก๋ป่ะหล่ะ

ให้ Cr. น้องเติ้ลเลยครัช

การแพ็คของ ในเทคนิคที่หลายๆ คนสอนมาครับ คือพวกเสื้อเชิตและกางเกงขายาวที่ไม่อยากให้ยับ ให้ใช้วิธีพับตามตะเข็บก่อน แล้วม้วน จากนั้นใส่ในถูกซิบล็อก แล้วดูดอากาศออกครับ
     ส่วนพวกเสื้อยืดนั้น ใช้พับแล้วเอาใส่ตามมุม เพื่อกันไม่ให้ของที่แตกได้ขยับไปมา เราจะได้มีที่สำหรับของฝาก และเครื่องใช้ต่างๆ ที่ต้องเอาไป ซึ่งพื้นที่กว่า 40% ของกระเป๋าเนี่ย เป็นของฝาก เช่นงาน Handmade แบบไทยๆ กระเป๋าตังค์ ผ้าอเนกประสงค์ (ผ้าขาวม้าอ่ะแหละ) ของตกแต่ง ย่ามปักลายสวยๆ ขนมแกล้มเบียร์บ้าง และที่ผมว่าหาซื้อที่ไหนไม่ได้ครับ ขนม “กระยาสารท” ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ของผมได้ทำไว้ // เอาเพรสรสลาบไปด้วย // พูดง่ายๆ กะเอาของไปให้ทั้งครอบครัว โดยเฉพาะของใช้  และขาดไม่ได้ เครื่องดนตรีครับ Harmonica และขลุ่ยเพียงออ
ก่อนไปสนามบิน

อันนี้คุณพ่อกับคุณแม่เค้าอยากถ่าย
 
     อาจารย์นัดพบกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 18.00น. ของวันที่ 13 ตึลาคม 2559 ผมคาดว่ารถติด เลยออกเร็ว และก็ใช้เวลาไป หนึ่ง ชั่วโมงเต็มๆ ในการเดินทาง รถไม่ได้ติดนะครับ พ่อเลี้ยวผิด เลยหลงทาง =_= คุณแม่นี่บ่นเลย 5555 วันนั้นทั้งท่านพ่อและท่านแม่ไปส่งที่สนามบินด้วย ผมว่าผมไปสายกว่าเวลานัดแล้วนะ สายไปครึ่งชั่วโมงแหน่ะ ไปถึงไม่เจอใคร ผมจึงโทรหาอาจารย์ สรุปคือผมถึงคนแรก ยังไม่พอ นั่งรอจนหิวข้าวอ่ะ 5555 ซึ่งของกินในสนามบิน ก็คงจะทราบกันดีนะครับ ถ้าเป็นร้านหน่ะ มีเงินน้อยกว่า 200 อย่าเสี่ยง แต่ทุกคนมีทางเลือก ที่ชั้น 3 (มั้งนะ) ร้าน 7 Eeleven อยู่ครับ ราคาก็ทั่วๆ ไป ตามปกติ จำได้เลย เสียไม่ถึง 100 อิ่มยันขึ้นเครื่อง เพราะผมซื้อ นม ขนมปัง และข้าวปั้น (เขาว่าดื่มนมก่อนขึ้นเครื่องมันไม่ดี ไม่รู้ทำไมอ่ะนะ รบกวนกูรูตอบด้วยครับ) และในที่สุด ก็มีคนๆ นึงปรากฏตัวขึ้น ใช่แล้ว น้องยูโรของเรา (โล่งอก นึกว่าจะนกรอผิดที่ไรงี้)  แล้วทุกๆ คนก็ค่อยๆ มาจนครบ ทั้งอาจารย์ นักเรียน และเพื่อนๆ ที่เคยไปทุนนี้ของปีที่แล้วก็มาส่งเราด้วย (มีคนนึง คือคนที่สอบข้อเขียนไม่ผ่าน ซึ่งกล่าวถึงใน Ep.2 ด้วยแหละ สงสารนาง งื่อ T-T) เมื่อทุกคนมาครับ ก็ต้องแจกกลอง และป้าย จากนั้นฟังนัดหมาย และข้อปฏิบัติต่างๆ จากนั้นก็ไปเช็คอินและช่างน้ำหนักกระเป๋า ซึ่งเป็นเดินกันเป็นแถวน่าร้ากกกกก ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ของผม ต้องรีบกลับก่อนเพราะมีธุระครับ จึงส่งผมแค่ที่ Gate คือ ยังไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันเลยอ่ะ 5555
 
และแล้ว!!
ผมก็ทำตัวเองหน้าแตก
..........ตอนช่างน้ำหนักกระเป๋า ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรครับยกกระเป๋าวางแล้วก็รอดูเลข.....อื่ม โอเคละไม่เกินจำกัด เลยเงยหน้าขึ้นมา
“อ๊ะ สวยแฮะ” (เจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ตรงนั้น) เลยเผลอยิ้มมุมปาก เป็นอะไรที่พอดีเพราะพี่เขาก็มองขึ้นมาพอดีกับตอนที่เผลอยิ้ม
She “ค้ะ!?”
จึ่ก!!! เอ๋อไปครู่นึง
Me “ฮ๊ะ!! ครับ?”
She “มีอะไรรึเปล่า”
Me “เปล่าๆๆ เปล่าครับ แหะๆๆๆ”
บ้าจริง!!! เขินเลย
เมื่อทุกคนเช็คอินกระเป๋าครบแล้ว ก็เป็นการถ่ายรูปรวม
แชะ!! หน้าตาตั่ลร้ากกันทุกคนเลย

ส่วนอันนี้ภาพกับเพื่อน  รร. เดียวกันที่ไปมาก่อนผม + เจมส์ ที่มาส่งเพื่อน
       ครับ........ถ่ายรูปเสร็จล่ำลากันเสร็จจึงฟังนัดหมายจากผู้ติดต่อและเจ้าของทุน และเดินเข้า GATE ซึ่งผมก็โง่ได้โล่ครับ เดินเตะแผงกัน......คนหันมองเต็มเลย อย่างอาย T-T และก็ตรวจของนิดหน่อย ก็เป็นอันเสร็จ
            ไม่นานจากที่ไปนั่งรอเครื่อง ผมก็เริ่มคิดถึงว่าถ้าขึ้นเครื่อง จะหาอะไรเคี้ยวดี เผื่อหิวแล้วจะหลับไม่ลง จนไปเจอตู้ขายขนม และเช่นเคยครับ ผมจะยืนเอ๋อก่อน เพื่อเลือกว่าจะเอาอะไรดี ซักพักหันมาอีกที่ เอ้า!!! พวกผู้หญิงก็มายืนอยู่ตรงนั้นเฉย (จริงๆ ผมไม่เห็นพวกชีตั่งแต่แรกล้ะ) ยังคงครุ่นคิดต่อไปจนมีฝรั่งมาต่อแถว


Me:”Oh I’m sorry I just choosing.” เดินหลีกมา
He:“no no it’s okay” กดขนมแล้วเดินจากไป แต่พี่แกเดินไปทั้งๆที่ยังไม่รอเงินทอน แล้วตอนนั้นคือ ทั้งแก๊งที่ยืนตรงนั้นมองหน้ากันแล้วผมรู้สึกว่า “ชัดล้ะ ชั้นชิมิ”........ครับ หยิบเหรียญสิบหลายเหรียญ แล้วก็
Me:“Hey!! Mister I think you forgot this” ซึ่งคำตอบยังทำให้ผมยังคงคิดวนไปวนมาว่าด้วยเหตุผลอะไรกันแต่ 
He:“Wow Thank you but It’s all your” คือเขาให้.........อาจจะเพราะกลับประเทศไปคงไม่ได้ใช้แล้ว แลกกลับก็ได้
     ค่าเงินน้อย แค่ 20 บาท ยังไม่ได้ 1 USD เลย 5555 // ผมยืนอึ่ง มองเขาเดินจากไปแล้วทำหน้าเอ๋อ หันกลับมาหากลุ่มสาวๆ แล้วก็พูดอะไรไม่ถูกไปเลย คือยังคงอึ้งอยู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้ซื้อ M&M ไว้เคียวซะเลย ตอนเครื่องไต่ระดับมักหูอื้อทำให้ผมรู้สึกป่วย
     เรานั่งรอกันใน Terminal ตอนประมาณ 5 ทุ่ม บางคนก็อ่านหนังสือ จับกลุ่มคุย เตรียมสคริป  และผมเห็นสองคนนั่งจับเข่าคุยกัน (คือจับจริงๆ อ่ะ นั่งพื้นด้วยสัส 55555) คือยูโรกับกล้า คุยอะไรจำไม่ได้แต่ผมเข้าไปคุยด้วยซะงั้น และจบด้วยการแกะ ขนมช็อคโกแลตเม็ดกลมๆ ชื่อ M ให้คนละเม็ดสองเม็ด ละลายในปากไม่ละลายในมือ แต่ที่เห็นคือสีแม่งติดเต็มมือเลย T-T
     ไหนๆ ก็แจก 2 คนล้ะ แจกมันทั้งคณะเลยครัช เดินให้ที่ละคนตั่งแต่นักเรียนจนถึงอาจารย์ 3 ท่าน และมันก็ทำให้ผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง (เอาอีกล้าว ผู้หญิงอกล้าว) เท่าที่ดูน่าจะวัยกลางคน และน่าจะเป็นคนญี่ปุ่นด้วย คือชีมองมาทางผมเว้ย แล้วมองด้วยสายตาบับ “เผลอเมื่อไหร่ กุจะฆ่า-” (แต่ถือว่าหน้าตาดีนะบอกเลยคนนี้) ผมเลยลองเดินย้ายที่ไปหาเพื่อนอีกคน แล้วเหลือบไปมองแบบเนียนๆ โดยกาลตั่งท่าถ่ายเพื่อน
แต่ก็เอาตัวเข้ากล้องเพื่อนด้วย
สังเกตุที่ผู้หญิงที่ก้มหน้ากับโทรศัพท์คนดียวข้างหลัง คนนั้นแหละครับ
และต้องขอโทษน้องณัฐ ที่โดนเบลอ เพราะเธอไม่ชัดเจน แฮร่!!!


 
     ตอนถ่ายรูปเพื่อนก็ค่อยๆแฉลบไปมอง..........ชัดล้ะ!! ชีมองมาจริงๆ คือทำตัวไม่ถูกเลยตอนนั้น เหมือนไปเหยียบเท้าเค้าไว้โดยไม่รู้ตัวอ่ะ (กำลังกลัว)  ตอนนั้นคิดว่าหาทางสบตาซะ เผื่อจะได้ส่งยิ้มไป (เลวววว) แต่แล้วก็โดนเรียกรวม ก่อนขึ้นเครื่องเฉย

     จากนั้นก็ไปขึ้นเครื่อง ผู้หญิงคนนั้นก็ Flight เดียวกันซะงั้น (หวังว่าชีจะมองผมด้วยเรื่องดีนะ แหะๆๆๆ) เราไปโดยเครื่องของการบินไทยครับ น่าจะเป็นชนิด A330 - 300 ขึ้นเครื่องไปและผมก็เคลียร์ของเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้ไม่ทำตัวเองหน้าแตกอีก และเข้า Flight Mode ในโทรศัพท์แบบยาวๆ ใส่หูฟัง ฟังเพลงรอ Take off
"I'm leaving on the jet plane. Don't know when I'll be back again " 
     ผมนั่งแถวกลาง 4 ที่นั่ง และขนาบข้างด้วยแถว 2 ที่นั่ง ซึ่งอยู่ขวาสุดของแถวกลาง ไม่ไกลจากห้องน้ำ คนที่นั่งข้างๆทางซ้ายคือ ดา มิ้น และอีกคนนี่จำไม่ได้ว่าใคร ครับ   Take Off ประมาณเที่ยงคืน ก็คงต้องนอนพัก เช้าจะได้มีแรง ZZZzzz...

      พอเริ่มเช้า ประมาณ 6 โมง ก็มีการเสิร์ฟอาหารเช้า ซึ่ง flight attendant ที่มาเสิร์ฟอาหารนั้น เป็นคนญี่ปุ่นครับ คือเป็น  Flight ที่มีคนญี่ปุ่นเยอะ เลยต้องมีไว้ด้วย (มั้งนะ)   =_= คือแล้วอาหารเลือกไม่ได้เพราะของหมดพอดี (ก็กินได้หมดแหละ) เสร็จสรรพ “อ่าวเห้ย ยังไม่ได้เครื่องดื่ม” คือโดนเมินมากๆ..........พอดีมี flight attendant อีกสองคนชายหญิงมาพร้อมรถเข็นเครื่องดื่มและกำลังจะเลยผมไป
ผมจึงโชว์โง่อีกรอบ
Me: "Hey Exuse me. ah…can I have a cup of green tea please” พูดจบ flight attendant  คนนั้น (สวยด้วย) ก็นิ่งไปแปบนึง
She: “น้องค้ะ!?” (คราวนี้เป็นคนไทยเฉยเลยจร้า)
Me: “เอ่า!! คนไทย.......เอ่อๆๆๆ (เชี่ย แก้ตัวไงดีว้ะ)
"อ๊ะ 55555 เมื่อกี้เจอ flight attendant  เป็นคนญี่ปุ่นหน่ะครับ เลยเข้าใจผิด
แฮะๆๆๆ”
  เขาก็ยิ้ม
“ชาเขียว ร้อนหรือเย็นค้ะ?” แล้วทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ
คือผมทำตัวเองเอ๋อบ่อยมาก

ในที่สุ!!!
เครื่องก็ลดระดับ
     และลงจอดที่สนามบินนานาชาติฟุกุโอกะ ประมาณ 07.00 - 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าไทยประมาณ 2 ชม. เมื่อลงเครื่องมาสิ่งที่รู้สึกก็คือ อุณหภูมิที่กระแทกกับหน้าบางๆของผมเลยครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะเริ่มเย็นๆ อากาศประมาณ 20-25  ℃ เหล่านักเรียนไทยและอาจารย์รวมตัวกันและต่อแถว โดยผมรั้งท้ายเช่นเคยความประทับใจแรกคือ ตอหม้อ (แฮร่!!!) ตม. ครับ ทำงานด้วยหน้าตายิ้มแย้ม สง่างาม ซึ่งผมได้ส่วนที่เป็น ตม. สาว ซะด้วย คือบับน่าร้ากกกกก
     ความประทับใจต่อมาคือตอนรับกระเป๋าครับ คณะนักเรียนและอาจารย์จะเอาแถบผ้าสีเดียวกันผูกกระเป๋าไว้ครับ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ขอทางญี่ปุ่น แยกของเราไว้ให้ด้วย แล้วไม่มีพลาดเลยนะครับ
เริ่มหลงรักความญี่ปุ่นซะแล้วสิ
      เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็ได้เวลาออกจากสนามบิน ก็ได้พบกับความประทับใจซึ่งเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าชอบมากกกก คือเดินออกมาจากประตูแล้ว ก็ มีคนจากทางศูนย์เยาวชน และนักข่าว พร้อมกล้อง มายืนรอรับ กันกว่า 7-8 คนเห็นจะได้ มีป้ายผ้า มีธงไทย ธงญี่ปุ่น รู้สึก อลังกาลมากกกกก.......ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคุณ田川 (Takawa) ซึ่งจะเป็นคนที่คอยดูแลคณะของเราตลอด 10 วันที่ญี่ปุ่น
รูปจากศูนย์เยาวชน

จะมีไอหนุ่มตัวผอมหัวเกรียนคนนึง คือผมเองแหละ

 
     และแล้วเราก็ไปขึ้นรถบัสที่จอดรอรับเราไว้ และสถานที่แรกที่เราจะไปก็คือ ไปพบกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาประจำจังหวัด Fukuoka (ภาพข่าวใน Ep.1) ซึ่งผมเปรียบเป็นโรงเชือดของผมเลยหล่ะ 55555  



     มีการต้อนรับเป็นอย่างดีครับ และพาไปรวมกันที่ห้องประชุม มีนักข่าว มีกล้องดูยิ่งใหญ่มาก และก็เริ่มด้วยการหัวหน้าทางฝ่ายญี่ปุ่นกล่าวรายงาน และหัวหน้าคณะผ่ายไทย คือ อ.ชนนาถ เป็นคนกล่าวครับ และตามด้วยคิวของผม เป็นเวลาที่รู้สึกว่ากลัวที่สุด กลัวที่จะทำตัวเองขายหน้า จะทำเพื่อนๆขายหน้า จะทำให้โครงการนี้ดูแย่ ในหัวมีเรื่องฟุ้งซ่านเต็มไปหมด จนต้องหลับตาคิดไปชั่วครู่หนึ่ง เลยครับ วิธีแก้ตื่นเต้นแบบของผมก็คือ หายใจลึกๆ แล้วค่อยๆผ่อน ค่อยๆ คิดถึงบทที่เตรียมไว้ คิดถึงสิ่งที่อาจารย์หลายๆท่านสอนมา คิดถึงกำลังใจจากน้อง จากเพื่อน จากพ่อแม่ แล้วค่อยๆ ตั่งสติจำบทอีกครั้ง ผมจำไม่ได้ 100% หรอกครับ แต่เมื่อถึงเวลา ประโยคทั้งหมดมันก็ลอยมาเอง แล้วพูดออกไป โดยที่ไม่รู้สึกว่ามันแปลก แล้วก็ไหลไปด้วยดีจนจบ จากนั้นก็จับมือ และรับของ  คล้ายๆของที่ระลึกครับ แล้วเขาก็บอกผมว่า “ถ้าเป็นไปได้ ก็มาเรียนมหาลัยที่นี่นะ”
รูปรวมอีกแล้ว
            ผมยอมรับเลยว่า จริงๆ ต้องขอบคุณทุกๆ คนตรงนั้นเลยครับ ตั่งแต่ เพื่อนๆ และน้อง ที่คอยบอกว่า “เบสทำได้” อาจารย์ที่คอยติว่าตรงไหนพลาด คนญี่ปุ่นที่คอยให้กำลังใจ ร่วมไปถึงช่างภาพ ซึ่งยิ้มให้ผมด้วย ทำให้ไม่รู้สึกประหม่ามากนัก

"ขอบคุณครับ"
     เราทุกคนได้รับของที่ระลึก และก็ล่ำลาเพื่อไปที่ต่อไปครับ คือ
九州大学
(Kyushyu Daigaku)
หรือ ”มหาวิทยาลัยคิวชู”

 
     ครับ เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันและ เข้าชนสนานที่ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งกว้างอลังกาลบอกไม่ถูก บรรยากาศดีมากครับ มีลมพัดตลอด ตึกสวย สะอาด สาวๆ สวยซะด้วย เดินแล้วรู้สึกเหนื่อยจริงๆครับ แล้ว ม.คิวชูนะ ตั่งอยู่บนภูเขาครับ ซึ่งตึกบางคณะ อยู่บนเขาอ่ะ ต้องเดินขึ้น // อยากจะตั่งชื่อไทยเป็น "ม.โคกสูงเนิน" มาก “โคก” ว่าสูงแล้ว “เนิน” สูงกว่า ตกมานี่ขาเสียไรงี้ 555555 // แล้วก็รับฟังบรรยายจากนักศึกษาไทย 2 คนที่มาเรียนที่นี่ครับ จากนั้นก็ไปชมหอสมุดของที่นี่ บอกเลยว่าใหญ่มากกกกก ใหญ่แล้วหนังสือเยอะจนต้องทำห้องเก็บใต้ดินที่มีชั้นวางเพียบ แล้วใช้คอมคุ้มและเลือกว่าจะเอาหนังสือเล่นไหน จากนั้นตัวยกจะเลื่อนไปในชั้นที่เก็บและเอาหนังสือมาส่งให้ครับ อลังการมาก
      หลังจากเดินชมจนทั่วก็ได้เวลาไปที่ต่อไปครับ ก่อนออกมาก็มีการกล่าวขอบคุณโดยตัวแทนและถ่ายรูปรวม

รูปรวมกับป้ายมหาลัย
+
สภาพแวดล้อม


ของแถมครับ
มื้อกลางวัน วันนั้น (โด่ของเพื่อนมาจานนึง)

 

    เราเดินทางกันต่อครับ และปลายทางสุดท้ายของวันนี้คือที่พักของเราที่ต้องอยู่กินนอนเป็นเวลา 7 วันกันเลยที่เดียว
    การเดินทางเป็นไง จินตนาการไปถึงการนั่งรถขึ้นเขาใหญ่ที่ริมทาง เปลี่ยนจากปากฝนเขตร้อนชื่นเป็นปากสนกับบ้านทรงญี่ปุ่น

ทำนองนี้ อยู่ข้างทาง (นี่คือต่างจังหวัด)............ซึ่งที่พักที่เราไปอยู่นั้นก็คือ



国立夜須高原青少年自然の家

Kokoritsu yasukougenshyounen shizen no I e

(ชื่อโคตรยาว ให้ท่องจำก็จำไม่ได้)

แต่เขาเรียกกันว่า Shizen no I e
แต่น่าเสียดาย ผมไม่ได้คิดไว้ว่าจะมาทำรีวิว เลยไม่ได้ถ่ายรอบๆ
ไว้มาก จิตนาการง่ายๆ ถ้าใครเคยดู
青い春ライド (Aoi Haru Ride) จะมีตอนที่ตัวละครไปเข้าค่ายผู้นำ......อารมณ์ก็ทำนองนั้นเลยครับ อยู่บนเขา (อันนี้บนเขาและกลางป่า) มีชุดของคณะ และมีตู้ขายน้ำหยอดเหรียญมันทุกที่ตั่งแต่ประตูหน้ายันสุดทางเดินอาคาร

       เราไปถึงก็เขาห้องประชุมก่อนเลยครับ เพื่อรับเสื้อของคณะ เป็น Jacket กันลมสีเหลือง (ซึ่งผมได้ตัวที่ใหญ่ และม่รอยขาดเยอะ ยังไม่พอ มีรอยเลอะเพียบเลย ซึ่งจริงๆ ผมได้ของใหม่พอดีตัวนะ แต่เพื่อน ผญ. เขาตัวเล็กเกินผมเลยให้ไป 5555 //โคตรพระเอก) รับเสื้อแล้วก็รับしおり (shiori) ซึ่งผมอธิบายไม่ถุกเหมือนกัน ว่าจะเรียกว่าอะไร เหมือนเป็นสมุดงานไว้บันทึกรายงาน และมีตารางเวลา กับข้อมูลที่อยู่ศูนย์เยาวชน รายชื่อ และแผนผังในนั้น

หน้าตาด้านในเป็นงี้

ปกใน กับ บันทึกวันแรกของผม

ถัดจากรับข้าวของก็เป็นการ ฟังบรรยายเกี่ยวกับกฎ ข้อบังคับ มารยาท ตารางเวลาต่างๆ เช่น โรงอาหารเปิดปิดกี่โมง เวลาเปิดและปิด お風呂 ((ofuro) ห้องอาบน้ำรวม)
 
เกร็ดความรู้!!! ในญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่ ทุกคนมักจะอาบรวมกัน ในห้องอาบรวม และจะลงแช่บ่อน้ำร้อนด้วยกัน เพื่อเป็นพบปะคนอื่นๆ พูดคุยสานสัมพันธ์กันในตัว บางที่อาจรวมชายหญิง แต่ปกติจะแยก นอกจากการอาบน้ำรวมแล้ว จะมีการแบ่งการลงแช่เป็น 2 ประเภท คือ 温泉(Onsen)และ お風呂 (Ofuro) ถามว่ามันต่างกันยังไง ง่ายมากครับ Onsen คือบ่น้ำร้อนที่แช่ที่ที่แจ้ง เปิดโล่ง Ofuro คือบ่อในตัวอาคาร ที่เหลือก็เหมือนกันหมด ยกเว้นเรื่องขนาดที่จะขึ้นอยู่กับสถานที่
คำเตือน!!! คนที่มีรอยสัก ห้ามลงแช่นะครับ



      หลังจากฟังบรรยายเกี่ยวกับสถานที่เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นการพาเข้าส่วนพักผ่อนครับ โดยชายหญิงแยกกัน ภายในเป็นเตียง 2 ชั้น ขนานกันจากทางเข้าไปจนถึงทางออกไประเบียง

(ยืมรูปมาจาก เว็บของศูนย์)
เมื่อไปถึง เราจะต้องเรียนรู้กันใช้ 布団(Futon) เป็นที่นอนแบบญี่ปุ่น ซึ่งมีพิธีรีตองเยอะมากตั้งแต่ เริ่มด้วยนวมหนาๆ รองพื้น จากนั้นก็มีผ้าขาววางทับ เพื่อรองนอน ตามด้วยผ้าขาวอีกผืนเพื่อขั้นตัวกับผ้าห่ม การนอนก็คือเราจะสอดตัวเข้าไประหว่างที่นอนกับผ้าห่มครับ ซึ่งผ้าขาวจะสัมผัสกับตัว เมื่อตื่นทุกเช้า ต้องพับเก็บ ให้เรียบร้อย แต่ถ้าพับเก็บผิดวิธีจะต้องเอามาพับใหม่
      เรียนรู้วิธีใช่เสร็จก็จองที่นอนเก็บข้าวของ และได้เวลาทานมื้อเย็นครับ โรงอาหารเป็นห้องโถงกว้างๆ มาโต๊ะเต็มไปหมด และมีระเบียงที่มองออกไป จะเห็นหุบเขาและป่าไกลสุดสายตา วันนั้นเป็นวันแรก ทางศูนย์จึงมีการจัดเลี้ยงต้อนรับ และเชิญบุคลากร (ส่วนใหญ่) มาแนะนำตัวครับ
สภาพห้องอาหาร
(รูปที่เว็บของศูนย์เอาลงไว้)
เกร็ดความรู้!!! : ในการทานอาหารแบบญี่ปุ่นนั้น หากอยู่กับเป็นกลุ่มใหญ่ เราควรรอให้ทุกคนครบก่อนครับ แล้วถึงจะเริ่มทาน โดยมารยาทนั้นมีมากมายหลายข้อเช่น ห้ามปกตะเกียบที่ข้าว ห้ามใช้ตะเกียบจิ้มของกิน ให้คีบเท่านั้น ซุบต้องซดจากถ้วย ต้องกินให้หมด ทานหมดแล้วต้องรอให้ทั้งโต๊ะทานเสร็จถึงจะลุกได้ ฯลฯ
 
 หลังจากทานเสร็จแล้วก็จะเป็นมารยาทอีกอย่างคือ ต้องเก็บจานอาหารให้เรียบร้อยโดยจะมีส่วนที่เตรียมไว้รับจานอาหารอยู่แล้วครับ
.....
...
..
.
ทานมื้อเย็นจบไป ก็ได้เวลาของการ!!!
     อาบน้ำ!!!.........ร(เน้นนะครับ อาบรวมที่ญี่ปุ่น ต้อง Unsen ไม่มีอะไรปิดนะจร้ะ ผ้าที่เอาเข้าคือเอาไว้เช็ดตัว สบู่ ยาสระผม)
 

      คราวนี้ ผู้ที่จะแนะนำการปฏิบัติให้เราทุกคนคือคุณ Reddo san ครับ หรือ Mr.Red เพราะเขามักใส่เสื้อสีแดง............แรกๆ เหล่านักเรียนชายไทยก็จะเขิลหน่อยๆ เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ (อยากรู้เหมือนกันว่า ห้องของสาวๆ ข้างกัน จะเป็นยังไง แรกๆ เขิลกันป่ะ55555) แต่ด้วยความฟิตหุ่นมาแล้ว จะได้ไม่เสียเวลา เอาผ้าพาดบ่า เดินเข้าไปอย่างองอาญ........ดันพลาดลื่น ดีไม่ล้ม........ทุกคนจะต้องเริ่มจากอาบน้ำฟอกสบู่ และสระผมจากฝักบัวนอกบ่อน้ำร้อนก่อนลงแช่ครับ และห้ามเด็ดขาดคือการส่งเสียงดัง วิ่ง กระโดด ว่าย รวมไปถึงห้ามให้ผมแตะน้ำในบ่อแช่เด็ดขาด
สภาพห้องอาบน้ำครับ

(ยืมรูปมาจาก เว็บของศูนย์)
      อุณหภูมิของน้ำนั้น คือ 40℃ และควรแช่ให้เป็นเวลาประมาณ 10 -20 นาทีเป็นอย่างต่ำ อันนี้ Mr.Red บอกมา ซึ่งผมไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หลังจากแช่เสร็จก็ต้องล้างตัวอีกรอบจึงเป็นอันเสร็จครับ การแช่บ่อน้ำร้อน ดีอยู่อย่าง คือแม้ว่าวันนั้น อุณหภูมิภายนอกจะลดลงไปถึง 5-10℃ เมื่อขึ้นจากบ่อ จะรู้สึกว่าอุ่นไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง (สำหรับคนไทย คุณแม่ของผมแนะนำว่าให้ทาครีมหลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อให้ผิวไม่แห้งแตก)

       อาบน้ำเสร็จก็ฟังนัดหมายและปล่อยเข้านอน ประมาณ 4 ทุ่ม แต่!!! เหล่าชายฉกรรจ์ ทั้ง 9 คน ยังไม่นอนครับ.......ด้วยความที่ เวลาต่างกัน 2 ชั่วโมง นั่นเท่ากับ 2 ทุ่มที่ไทย นอนไม่หลับดิครัช!!! ต่างคนก็ทำกิจส่วนตัว เขียน しおり จัดของ อ่านสือบ้าง แต่ด้วยความนอนไม่หลับ ผมกับเปาก็เอาแล้ว ฟิตมาก.......ออกกำลังกายสิครัชรอไร คือรักสุขภาพยามดึก 55555 แต่ที่พีคสุดคือทุกคนก็ทำอะไรส่วนตัวไปก็มีเสียง “ปั่ก!!!” มาจากประตูระเบียง ทุกคนเดินไปดู............นายกล้า ฉายา อบต. ของเราครับ ยืนอึ้งอยู่ พร้อมประตูมุ้งลวดที่หลุดคามือ =_= เขร้!!! มาวันแรกก็ทำของเขาพังซะละ สุดท้ายต้องปิดประตูกระจก แล้วพิงเศษอารยธรรมมุ้งลวดไว้.......กลายได้นอนกันเที่ยงคืน แต่!!! ไม่รู้ใครมันนอนกรน กว่าจะหลับลงก็ล่อไปตี 2 อ่ะ 555555

 
......
.....
....
...
..
.
.
แต่!!! ผมคิดว่ามันจะยาวเกินไปถ้าจะเล่าต่อ
พักสายตากันก่อนนะครับ
ไว้ต่อ EP. หน้าเนอะ

ขอบอกไว้ก่อนว่า เรื่องราวจะยิ่งน่าสนใจไปเรื่อยๆ พร้อมเกร็ดความรู้มากมายที่ติดมากับเนื้อเรื่อง ยังไงก็ติดตามกันต่อได้ใน Ep.5 นะครับทุกท่าน >_<




ตัวอย่างตอนต่อไป
“เบส.....มารับรางวัลจร้า” // “แบงค์ ช่วยด้วย T-T” // “เชี่ยงานดี!!! // เห้ย ผิดกฎหมายนะเฟ้ย!!!” // “ใครเผลอ จะต้องถูกตี!!!”


........
......
....
..
.
.


ติดตามต่อได้ใน
รีวิว : แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ญี่ปุ่น กับ TJYEC Ep.5
ปล. Ep. ต่อไปจะพยายามทำให้ต่อเนื่องและเร็วขึ้นครับ ต้องขออภัย เนื่องจาก Ep. นี้ไฟล์ที่เตรียมไว้แล้วหาย จึงต้องเริ่มหใม่หมดเลย

 

แสดงความคิดเห็น

6 ความคิดเห็น

DeadMan 21 พ.ค. 60 เวลา 01:31 น. 1-1

อันนี้ผมไปต่างประเทศครั้งแรกเหมือนกันครับ

0
DeadMan 21 พ.ค. 60 เวลา 01:30 น. 2-1

ถ้ายังเรียน ม.ปลายก็มีโอกาสนะครับ สู้ๆ

0
ฝน ขุนอักษร 10 ก.ค. 60 เวลา 20:06 น. 3

รอๆๆๆๆ ต่อเร็วๆนะคะ อ่านแล้ว สนใจมากๆ แต่ว่าไม่เก่งภาษา อยากรู้วิธีติวของจขกท.มากๆเลยค่ะ

เตรียมตัวยังไงบ้างเหรอคะ ขอเคล็ดลับหน่อย

2
DeadMan 10 ก.ค. 60 เวลา 20:15 น. 3-1

สำหรับของผมเองคือ ใช้เวลาว่างกับอาจารย์เจ้าของภาษาครับ คือนั่งคุยนั่งเล่น ถามโน่นถามนี่ ช่วยงานบ้างอะไรบ้าง แล้วทักษะจะมาเองครับ จะมาพร้อมความรู้ แต่ต้องพยายามใช้ภาษาเขาให้มากๆ ผิดไม่เป็นไร เพราะ อ. พร้อมจะแก้ให้เราอยู่แล้ว (ผมเลยได้ดีแค่พูดนี่แหละ เขียนก็เกือบไม่รอด 5555) คือต้องหาวิธีเรียนทีรู้สึกว่ามีความสุขกับการเรียนอ่ะครับ แล้วเราจะรับรู้ได้เร็ว

0
pphai2545 31 ส.ค. 60 เวลา 18:19 น. 5

ตอนนี้หนูสอบข้อเขียนผ่านแล้วค่ะ ต้องไปสอบสัมภาษณ์วันที่ 3 แล้วอยู่ ม.4 หนูกลัวจะพูดไม่ได้อยู่เหมือนกันคะ

1
DeadMan 4 ต.ค. 60 เวลา 22:15 น. 5-1

ฮึ้ย!!! พี่ขอโทษลืม เข้ามาดูเลย......พอเข้ามหาลัยแล้วเวลาไม่มีเลย // แล้วสอบเป็นไงบ้างเอ่ย~

0
DeadMan 29 ธ.ค. 60 เวลา 00:34 น. 6-1

จะพยายามหาเวลาทำครับ เข้ามหาลัยเจอกิจกรรมเยอะ เลยต้องเว้นตรงนี้มา แต่ Ep. หน้าจะตามมาแน่นอน

0