เป็นโรคซึมเศร้าแต่อยากเขียนนิยายแนวดราม่ามาก (ขอคำแนะนำ)
ตั้งกระทู้ใหม่
ประเด็นเลยคือเราสับสนในตอนนี้ระหว่าง คิดพล็อตใหม่ที่สดใสกว่า กับ เขียนในสิ่งที่อยากเขียน
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเราจะรู้สึกเศร้ามากเวลาคิดฉากจบที่มันไม่สมหวัง(ตัวละครหลักตาย) กลัวว่ามันจะทำให้เราแย่กว่าเดิม
เรานั่งทะเลาะกับตัวเองมานานแล้วค่ะว่าจะตัดสินใจเขียนหรือคิดพล็อตใหม่ดี
เพื่อน ๆ ออกความเห็นเข้ามาหน่อยนะคะ เรารับฟังหมด ตอนนี้เราลังเลมาก ๆ ไม่รู้จะทำยังไงดี
12 ความคิดเห็น
คนเป็นซึมเศร้าสามารถเขียนนิยายดราม่าได้ครับ 'ถ้ามีสติแยกแยะได้ดีพอ' แต่ถ้ารู้ตัวว่าทำไม่ได้ก็แค่จดพล็อตเอาไว้แล้วหลีกเลี่ยงซะ น้องไม่จำเป็นต้องบันทอนตัวเองเพื่อสร้างผลงานขนาดนั้น บางคนเชื่อว่าจะบรรยายอะไรให้ออกมาดีได้คนเขียนจำเป็นต้องอินมากพอ ฉากเศร้าคนเขียนก็ต้องเศร้าชิบผายวายป่วง ต้องระบายอารมณ์เหมือนคนร้องไห้ลงมาเป็นตัวอักษรถึงจะกลายเป็นงานที่ดี...
ขอบอกเลยว่ามันทั้งจริงและไม่จริง
สมองเรามันจดจำช่วงเวลาทุกข์ระทมขณะกำลังพิมพ์ตัวอักษรตามที่เราบิ๊วเอาไว้ พอพิมพ์เสร็จแล้วกลับมาอ่านเราจะ 'รู้สึก' อินกับมันเป็นพิเศษเลยคิดว่างานออกมาดี ความจริงคือ... ก็สมองมันจำเอาไว้ว่าตอนพิมพ์ตัวอักษรนี้แล้วเราเศร้า มันก็เชื่อมโยงกัน แต่ถ้าคนอ่านเอาไปอ่าน เขาก็จะเอาไปเชื่อมกับความทรงจำเศร้าๆของเขา ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย!
ขอเสริมด้วยการลองไปอ่านสิ่งที่ผมตอบเอาไว้ในสองกระทู้นี้นะ
https://www.dek-d.com/board/view/3864732 <<< ทำยังไงคนอ่านอินโดยเราไม่ต้องรู้สึกร่วม
https://www.dek-d.com/board/view/3863673 <<< วิธีป้องกันเบื้องต้น + วิธีคิด
ส่วนตัวพี่เป็นซึมเศร้าจากอาการสารเคมีในสมองผิดปกติโดยไม่ใช่ตั้งแต่กำเนิดเลยรู้ว่าอาการเป็นยังไง บางวันตื่นมารู้สึกเหมือนโลกจะแตกกลัวตายตลอดเวลา บางวันตื่นมาเป็นศิลปินหยิบจับอะไรก็ออกมาละเมียดละไม บางวันตื่นมาก็คึกยังกะคนเป็นไบโพล่ายิ้มทั้งวัน บางวันก็เศร้าๆเบื่อๆไม่อยากทำอะไรเลย แล้วยาหมอมันดันใช้ไม่ได้ผลกับพี่ พี่เลยต้องหาทางรับมือกับอาการพวกนี้เพื่อให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ตามปกติ เลยต้องไปศึกษาวิธีการทำงานของสมอง จิตวิทยา การฝึกสมาธิบลาๆ จนกระทั่งเข้าใจแล้วควบคุมอาการตัวเองได้ในที่สุด ทุกวันนี้ก็ยังมีอาการอยู่แต่พี่ทำให้มันสงบลงได้เร็วมาก
สำหรับคนทั่วไปอยากให้เข้าใจตรงนี้ไว้ สาเหตุของอาการซึมเศร้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมาจากความรุนแรง บางคนมาจากความเศร้า บางคนมาจากความเบื่อหน่าย เพราะงั้นวิธีแก้และตัวกระตุ้นอาการของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน **โปรดระวังคำแนะนำของตัวเองเอาไว้ด้วย**
วิธีฝึกให้กลับมาเขียนดราม่าที่ดีที่สุดสำหรับพี่คือต้องหัด 'สิ้นคิด' เอาสมองมาจดจ่อกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย รับรู้ว่าตัวเองสัมผัสหยิบจับอะไรอยู่ รับรู้ว่าตอนนั่งน้ำหนักมันกดลงที่ก้นซ้ายหรือก้นขวามากกว่ากัน เลิกทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน เพราะมันบันทอนสมาธิทำให้เราวอกแวกได้ง่าย เช่น กินข้าวก็กินข้าวอย่างเดียว อย่าเล่นมือถือหรือทำงานอย่างอื่นไปด้วย
เลิกตัดสินตีความการกระทำของคนอื่นแล้วมองตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น หัดดีดความคิดปรุงแต่งที่คิดเองเออเองจนกลับมามีสติอยู่กับปัจจุบันได้ให้ไวที่สุด เพราะถ้าเรายังปล่อยให้สมองไหลไปตามอารมณ์ต่างๆที่เป็นแผลของน้อง ร่างกายน้องจะทรุดหนักกว่าเดิมถ้ามันไปสะกิดแผลขึ้นมา
คนสอนให้สิ้นคิดเก่งสุดตอนนี้ที่ผมหาเจอคือ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ แต่อาจารย์ท่านนี้จะสอนเน้นไปทางศาสนา ไม่เกี่ยวกับซึมเศร้าโดยตรง แต่มีประโยชน์กับการฝึกให้มีสติแยกแยะอารมณ์ได้ ใน youtube ก็มี
https://www.facebook.com/woraphatFC/?hc_ref=ARQMNP-w6IXTTp3jrrMF1fUTL2EdJ94E0-HRbSJzQ_2BlviZL9JlyUyLqRVdb2KFExg
ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ
มีอีกลิ้งนึง... ถ้าน้องมีปมทางใจน้องสามารถแก้เบื้องต้นได้ตามนี้เลย
https://www.dek-d.com/board/view/3868198/1/?comment=1
น้องไม่จำเป็นต้องเชื่อพี่ทุกคำพูด แต่ละคนจะมีวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง กรณีพี่พบว่าการแก้ด้วยวิธีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพราะพี่เป็นพวกคิดมาก กังวลตลอดเวลา ไม่ไว้ใจใคร ส่วนน้องต้องลองหาวิธีบรรเทาใจด้วยตัวเอง คำพูดมันช่วยได้แค่ให้แนวคิด ส่วนปัญหาทางใจเราต้องแก้ด้วยใจของเราเอง ขอบคุณมากที่น้องให้โอกาสตัวเอง
ออกตัวก่อนว่า ผมไม่มีความเข้าใจในโลกซึมเศร้า ว่าอาการมันเป็นอย่างไร หรือเมื่อได้รับแรงกระตุ้นจากภายนอกแบบไหนอาการของโรคจะแย่ลง
แต่ขอแนะนำว่า ไม่ควรเขียนเรื่องเศร้า ๆ หรือทุกข์ใจ เพราะการเขียนนิยาย จำเป็นต้องมีอารมณ์ร่วมกับมัน ยิ่งเจ้าของกระทู้อ่อนไหวต่อเรื่องเศร้า ๆ หากต้องวนเวียนอยู่กับเรื่องความเศร้า (นิยาย) อยู่บ่อย ๆ ก็อาจมีปัญหาได้
ต้องอย่าลืมว่า การเขียน มันทำให้เราจมอยู่กับอารมณ์นั้น ๆ หากเราเขียนเรื่องเศร้า เราก็จะเศร้า หากเราเขียนเรื่องสุขใจ เราก็จะสุขใจ ตรงนี้แหละทีจะทำให้มีปัญหา เพราะเจ้าของกระทู้กำลังเขียนเรื่องดราม่าที่มีทั้งความเศร้าและความทุกข์
แนะนำว่าหลีกเลี่ยงแนวนี้จะดีกว่า รักษาตัวเองให้หาย แล้วค่อยกลับมาแต่งจะดีที่สุด
นั่นสินะคะ ช่วงนี้รู้สึกดาวน์บ่อย ๆ สงสัยต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อน tt
อยากเขียนก็เขียนไปเลยค่ะ เราเองก็มีอาการซึมเศร้า แต่ด้อนท์แคร์~ 5555
ดีจังเลยค่ะ เราด๊อนแคร์ได้บ้างTT
ไม่ว่าคุณจะปกติ หรือมีภาวะซึมเศร้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณลงนิยายในเด็กดี คือ
-คุณจะเข้าสู่วังวนการแข่งขันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นแบบทดสอบทางจิตใจว่าคุณจะสตรองพอหรือป่าว? คุณจะอดไม่เปรียบเทียบตัวเองกับท๊อป 20 ที่ยอดวิวเป็นล้าน ยอดเฟบเป็นหมื่นได้หรือไม่?
-คุณจะรับมืออย่างไรกับรีดเดอร์ที่เห็นนิยายคุณเป็นถังขยะอารมณ์ คนปกติเจอคอมเมนท์แนวนี้ไปยังต้องหายใจลึกๆ ยาวๆ ยังมีนอยมีท้อ แต่กับคนที่สารเคมีในสมองไม่สมดุล จะอดไม่ย้ำคิดย้ำทำได้ไหม?
-ถ้าระหว่างที่ลงนิยายเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จนมีเหตุให้คุณไม่สามารถแต่ง หรือลงนิยายได้ต่อเนื่อง คนอ่านหาย คนอันเฟบ คุณจะปล่อยวางได้หรือป่าว?
เราก็ไม่รู้ว่าคุณมีภาวะขั้นไหนนะ แต่ตอนนี้ใครเป็นคนดูแลคุณ แล้วถ้าคุณเกิด เครียด วิตกกังวล ไม่หลับไม่นอน ทำร้ายตัวเอง ใครจะต้องเฝ้าคุณ ใครจะพาคุณไปพบแพทย์ เราเคยไปเป็นเพื่อน เพื่อนเราไปหาพบหมอจิตเวทอยู่ สองสามครั้ง เราเข้าใจคนที่ต้องพาคุณไป รพ.
อยากให้แคร์เขาเหล่านั้นและตัวคุณเองให้มากกว่าแคร์นิยายและรีดเดอร์
เราเคยอ่านว่า มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเขียนนิยายแล้วช่วยให้อาการดีขึ้นค่ะ
คุณจะเขียนได้ค่ะแต่ต้องระวังตัว และควรอยู่ในการดูแลของคนรอบข้างและแพทย์ให้ดี คือ พยายามบอกเขาปรึกษาเขาว่าถ้าคุณเริ่มมีอาการไม่ดี ต้องให้ออกจากจุดนี้ไปก่อน
และตามที่เมนต์อื่นๆ ว่ามา คือบางทีการเขียนอาจไม่ได้มีผล แต่การรับมือกับคอมเมนต์ และผู้อ่านที่มีความหลากหลายต่างหากที่จะเกิดปัญหากับคุณ คุณอาจจะพิจารณาปิดคอมเมนต์ หรือเลือกให้เฉพาะสมาชิกคอมเมนต์ หรือแจ้งไว้เลยว่ากรุณาเมนต์อย่างสุภาพ น่าจะดีกว่า
ส่วนที่เหลือที่คุณจะต้องรับให้ได้ ในการลงนิยายในที่สาธารณะ คุณอาจจะไม่ได้ลงที่เด็กดีที่เดียวก็ได้ยังสามารถลงพร้อมๆ กันได้หลายที่ ฐานผู้อ่านจะต่างกัน ที่ต้องทำใจคือ ยอดผู้อ่าน ยอดวิวต่อตอน จำนวนเมนต์ จำนวนเฟบ ถ้าคุณลงไม่กี่ตอนขอให้ทำใจค่ะที่คนยังไม่เข้ามาอ่าน เพราะนิยายที่ลงในเด็กดีนั้นมีมากในแต่ละวัน การเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านอาจจะน้อยค่ะ ถ้านิยายเปิดเรื่องใหม่ตอนน้อยๆ ผู้อ่านจะยังไม่สนใจเพราะกลัวโดนเทค่ะ ดังนั้นต้องอดทนหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งน้อยใจว่าเรื่องของคุณไม่ดี
ต่อไปคือเรื่องการตั้งความหวัง เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ว่าคุณอาจจะอยากให้ผู้อ่านเข้ามาอ่านมาก อยากติดท็อปหรือเป็นที่นิยม ส่วนนี้อาจจะกดดันคุณได้ ถ้าเขียนเพราะต้องการเขียน อยากเขียนให้นึกย้อนกลับไปอารมณ์ที่พาคุณมาเขียนนะคะจะช่วยได้
ก็เขียนไปสิครับ ผมเป็นผมยังไม่คิดอะไรมากเลย
เศร้าแยกไว้ส่วนเศร้า จะเอามารวมกันไปทำไมล่ะ
ที่จริงก็ไม่น่าจะเกี่ยวเท่าไร ซึมจนไม่มีอารมณ์เขียนยังน่าจะเป็นไปได้มากกว่า - - ซึ่งฉันก็เป็นอยู่
นิยายดราม่าไม่จำเป็นต้องร้ายแรงจนสุดขั้ว แต่ควรเป็นไปตามความเหมาะสมและเหตุผลของมัน
ไม่จำเป็นต้องเอาอย่างเรื่องที่มีก่อนหน้า ตามกระแส หรือ เอาสาแก่ใจเข้าว่า
ผมเคยเขียนเรื่องให้พระเอกไม่มีพ่อแม่ พ่อป่วยตาย ลุงเลยได้โอกาสโกงเงินส่วนของน้องมาเป็น
ของตัวเอง แม่โดนโกงเสียใจเลยฆ่าตัวตายตามพ่อไป ต่อมาพระเอกมีครอบครัวรถโดนชนลูกตาย
เมียก็โดนพ่อตาลากไปแต่งงานใหม่ แบบนี้ชีวิตบัดซบชัดๆ
พอเขียนไปแล้วกลับมาอ่านอีกทีรู้สึกว่ามันไม่สมจริงและมีปัญหาตามมาหลายอย่าง
เลยตัดสินใจเอาพ่อแม่พระเอกกลับมา ตอนแรกๆ ก็ว่ามีตัวละครเพิ่มเขียนยากขึ้น
แต่พอมีบทบาทเข้ามาเพิ่มทีละนิดๆ ไปในแต่ละตอนก็ทำให้นิยายดูมีสีสันมีชีวิตชีวามากขึ้น
มีความสมจริงและเติมเต็มส่วนที่หายไป ส่วนนางเอกเปลี่ยนเป็นพ่อบังคับด้วยวิธีที่ไม่ใช้กำลัง
เพราะมันดูเถื่อนเกินไป แก้แล้วอ่านอีกทีเลยสบายใจไม่อึดอัดอย่างที่แล้วมา
การเขียนแนวดราม่าใช่ว่าจะไม่ดี แต่ก็อยากจะให้ลองคิดอีกแบบนึงเผื่อไว้บ้าง เราอาจจะเจอ
รูปแบบที่ดีกว่าอันเดิมก็ได้
นักเขียน นักแสดง ผู้กำกับ ที่เป็นโรคซึมเศร้ามีเยอะแยะครับ แต่ไม่เคยมีใคร Depress จากเรื่องที่ตัวเองแต่งขึ้นเลย กลับกันมีแต่เอาเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วง Depress มาสร้างเป็นเรื่องราว
Stephen King, Mark twain, J.K. Rowling เอาแค่สามชื่อนี้ก็น่าจะช่วยตัดสินใจได้แล้วครับว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าเขียนนิยายได้มั้ย เพราะทั้งสามคนมีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า
แก้ไข-เพิ่มอีกคน Hideaki Anno ผู้กำกับและเขียนบท Neogenesis Evangelian ในเรื่องทั้งเศร้า ทั้งตับแตกมาก แถมตอนจบเป็นตำนานจนทุกวันนี้ คนนี้ก็เป็นโรคซึมเศร้าขั้นหนักเหมือนกัน
ไม่ค่อยแนะนำสักเท่าไหร่ค่ะ
คือจะเขียนก็เขียนได้แหละ แต่พอติดว่าเป็นโรคนี้อยู่ มันบอกไม่ได้หรอกว่ามันจะกระทบกับเราไปได้ไกลขนาดไหน ถ้าเป็นไปได้อะไรที่มีโอกาสเสี่ยงที่ทำให้เกิดผลกระทบ เลี่ยงได้ก็ดีค่ะ
ถ้าอยากเขียนก็ลองเขียนดู ถ้าไม่ไหวก็หยุด ต้องคอยสังเกตตัวเอง
เราเองไม่ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า แต่จะอารมณ์ดาวน์เป็นพักๆ เวลาจมอยู่กับเรื่องที่หม่นๆนานๆ ดังนั้นเราจะมีนิยายสองแนวค่ะ แนวหม่น กับแนวเพ้อฝันโลกสดใส
ถ้าอยู่โหมดปกติก็เขียนแนวหม่นดราม่าได้ ผ่านไปสักพักเริ่มดาวน์ก็โยกไปเขียนอีกเรื่อง
คือเราคิดว่าการรับอะไรด้านลบเข้ามามันจะมีผลกับจิตใจโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นทางแก้คือต้องรับอะไรด้านบวกเข้าไปช่วย
ทั้งนี้เราก็แค่แชร์ทางของเรานะคะ แนะนำไม่ถูกเหมือนกัน เพราะแต่ละคนปัจจัยการก่อให้เกิดซึมเศร้ามีเยอะค่ะ แต่ละคนก็มีทางแก้ต่างกันด้วย
แต่งเรื่องที่มีความสุข มองโลกในแง่บวกดีกว่าค่ะ จริงๆ เคยอ่านเจอว่าการเขียนนิยายช่วยได้นะคะ เพราะเป็นการช่วยระบายทางหนึ่งค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้หายจากโรคนี้นะคะ^^
อันนี้ความคิดส่วนตัวนะครับ ผมคิดว่าถ้าเป็นโรคซึมเศร้าแบบโรคซึมเศร้าจริงๆ อย่าเขียนดีกว่า ผมคิดว่าไม่ควรเขียน เพราะเวลาเขียนนิยายคุณต้องคิดปัญหาความขัดแย้งตลอดเวลา แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่ถ้าคนเป็นโรคนี้จริงๆจะมองเห็นเป็นเรื่องใหญ่มาก! ผมแนะนำว่าให้หายก่อนครับค่อยเขียนครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?