Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

HOW TO (Part2) รู้จักตัวเอง ค้นพบตัวเอง และวางแผนการเรียนให้เป็น!!! (แนะนำสำหรับ ม.ต้น และม.ปลาย)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สำหรับใครที่เพิ่งมาเจอเราขอให้ย้อนกลับไปดู part1 ก่อน เพื่อที่จะเข้าใจภาพรวมทั้งหมดจริงๆ สำหรับใครที่ไม่ได้อ่านมามันจะไม่ต่อเนื่องน้าา ส่วนนี้จะเป็นการรู้จักเป้าหมายต่อจากอันที่แล้วนะ!!!
https://www.dek-d.com/board/view/3989268/


ก่อนอื่นมาแปะสารบัญกันก่อนนน




 
งั้นมาต่อส่วนที่ขาดไปกันเลยยย

1. ง่ายสุดๆสำหรับคนที่หาคำตอบแบบชัดๆไม่ได้ เราอยากให้ขขั้นแรกคือ เลือกกลุ่มของคณะที่จะเข้า  กลุ่มในที่นี้คือ แบ่งจากคะแนนที่ใช้  ซึ่งบังคับเลยว่า อย่าเลือก 2 กลุ่ม ให้สนใจที่สุดแค่อันเดียว ถ้าเลือกเยอะมันจะเหมือนจับปลา2มือ ส่งผลต่อการวางแผนที่ยากในการสำเร็จ  ยกเว้นพวกกลุ่มหมอไว้ ถ้ามีในใจว่าอยากเป็นกลุ่มนี้ จะเลือกกลุ่มรองสำรองไว้อะไรเราก็ไม่ว่าาาา
https://campus.campus-star.com/education/111936.html

2. ทำการหาข้อมูลคณะที่สนใจ ในแต่ละมหาวิทยาลัย เปรียบเทียบความต่าง เลือกที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด มีหลายต่อหลายวิธีเช่นตัวเราหาอ่านจากพันทิป เด็กดี หรือใครจะลองถามพวก studygram ที่ตัวเองติดตามก็ได้ แต่เราไม่ได้ถามนะ  

3.   ไปค่ายยยยยยยยยยยย หลังจากมีข้อมูลคณะที่สนใจระดับหนึ่งแล้ว แนะนำสุดๆคือไปค่าย พูดเลยว่ามันต่างกันมากๆ สำหรับคนที่ไปแบบไม่รู้่อะไรเลย กับคนที่ไปแบบรู้หลายอย่างแบบเรา เราติดค่ายบัญชี มธ    ด้วยความที่เรามีข้อมูลและแนวทางอาชีพที่อยากเป็น วางแผนในชีวิตมาดี การที่จะสมัครค่ายมันเลยไม่ใช่เรื่องยาก อย่างค่ายบัญชีมธ จำได้ว่ามีคนสมัคร1000+ รับแค่ 80หรือ90เองนะ ดังนั้นมันสำคัญจริงๆสำหรับการมีข้อมูลไปก่อน  เราจำได้เลยว่าทั้งค่ายมี ม.4 3หรือ4คน และเราเป็น1ในนั้น  แถมเราไปค่ายในจุดของคนที่ต้องการถามข้อมูลที่หาไม่ได้ในแหล่งอื่นๆ แต่มันได้ง่ายจากรุ่นที่จริงๆ   แถมเราไปแบบคนที่ยังลังเลว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างบัญชี กับบริหาร  แต่พอไปก็รู้เลยว่าจะทำยังไง เพราะเราถามรุ่นพี่ทุกวันที่มีเวลาเลย5555    อยากบอกว่า บางอย่างที่เพื่อนๆพี่ๆในค่ายถามรุ่นพี่ บางอย่างเราก็ตอบแทนได้ด้วย หมายถึงตอบในใจอะ เพราะเราก็หาข้อมูลมา  ดังนั้นถ้าคนที่ไม่หาข้อมูลมา มันจะเสียโอกาสในการถามบางสิ่งที่ไม่สามารถหาจากที่อื่นได้ไป  ฉนั้นอย่างเอาโอกาสตรงนี้ไปถามคำถามง่ายๆที่หาเองได แต่ถ้าในสิ่งที่มันได้จากที่นี่เท่านั้น    แถมยังได้connection กลับมาด้วย ถ้าใครไปได้ก็อยากให้ไป 
ติดตามค่ายได้จาก https://www.camphub.in.th/

4. กลับมาทบทวนจากข้อมูลที่ได้จากข้อ  2 3 และประมวลมันออกมาให้ดีที่สุดและกำหนดแนวทาง เป้าหมายตัวเอง!!!!!!!!

โอเคคคค ตอนนี้เราว่าทุกคนรู้จักตัวเอง เป้าหมายกันแล้วววววววววววว  หวังว่าอะนะ   รีบๆทำให้กระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมาจบลงที่  ต้นเทอมม.4 นะ จะได้มีเวลาอ่านหนังสือตามแผนเยอะๆ!!! และสิ่งที่อยากบอกก็คือ
สำหรับใครทีีใครท้อแท้ คิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้ จะไม่ติดในคณะนั้นๆ ไม่กล้าหวัง  เราอยากให้ทุกคนจำไว้ว่า  "คนอย่างบนโลกไม่เคยเท่ากัน  และเป็นความจริงที่มีคนโง่กว่าคนหนึ่ง มีคนฉลาดกว่าคนอื่น นั่นคือความจริงที่ไม่มีใครเถียงได้ แต่อย่าดูถูกตัวเองเลย ขอแค่รู้ตัวและขยัน พยายามทำให้ได้ ถ้าคนอื่นขยัน เราก็แค่ขยันให้มากกว่า อย่าไม่กล้าที่จะฝัน แต่ถ้าฝันสูงไปก็คิดดีๆเด้อ เอาในความเป็นจริง แต่อย่าดูถูกตัวเอง ถ้ามาถึงตรงนี้ เราว่าทุกคนรู้ข้อดีข้อเสีย และคณะที่เหมาะแล้ว อย่าเอาทัศนคติแบบนี้มาตัดสินตัวเอง สู้ๆนะ"


 

ต่อที่


ทุกคนจริงๆ คือเรามองว่าการวางแผนของเรามันสุดยอดมากๆ  และสิ่งที่เราจะมาแนะนำต้องขอโทษด้วยที่เราจะไม่บอกหมด5555 ขอบอกแบบแอบๆไปแล้วกันนะ   ตามจิตใต้สำนึกที่เป็นคนไม่ดีของเรา มันบอกว่าเราไม่ควรบอกในสิ่งนี้ไป5555  เพราะมันจะเป็นความลับทางการค้าในอนาคตได้ เอาเป็นว่าถ้าใครไม่โอเค ก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ งั้นเรามาต่อกันเลยยย


คือจริงๆอันนี้มันแล้วแต่คนเลย  และพอทุกคนผ่านการรู้จักตัวเอง รู้จักเป้าหมายแล้ว การวางแผนมันจะง่ายมากๆ ถ้าทุกคนเดินในทางที่เราแนะนำไว้อะนะ ถ้าไม่ได้ทำตามมา อันนี้เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน คือถ้าทำตามที่เราแนะนำไป  ตอนนี้ทุกคนจะมีคณะในดวงในที่สุด1ึคณะ และเราจะวางแผนคณะการเรียนจากคณะตรงนี้ 

1.ต้องใช้อะไรในการเข้า มีกี่รอบ
2.เลือกรอบที่ตัวเองสนใจและมีโอกาสมากที่สุด 
3.วางแผนการอ่านเพื่อรอบนี้ แต่ก็ต้องเป็นแผนที่ครอบคลุมไปถึงรอบอื่นด้วย   ไม่แนะนำให้ไม่อ่านหนังสือ ถ้าเลือกจะเข้าportfolio มันแบบ บ้าบอ เสี่ยงไป ให้เน้นสร้างผลงานควบคู่การเรียนนะ อย่าทิ้งอะไรก็ตามทั้งกิจกรรมและการเรียน แต่ให้ทิ้งในสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป

ก็ประมาณนี้แหละทุกคน    คือส่วนนี้มันไม่มีอะไรเลยอะ ทุกคนมีแนวทางของตัวเอง ทำในสิ่งที่เหมาะ ฟังหุไว้หู อย่าไปทำตามใคร ทุกคนมีทางของตัวเอง   แต่แบบว่าขออวดว่าทางเราดีมากเลยนะ5555   ถ้าต้องจั่วหัวให้น่าสนใจก็จะจั่วว่า วิธีจำศัพท์224คำใน3วัน วันละ6ชั่วโมง    อะไรประมาณนี้ แต่คือเรานั่งจำศัพท์oxford 3400+คำ   คือตามแผนที่วา่งมันจะใช้เวลาไม่นาน แต่เราใช้เกือบ4เดือนเลย ในกระบวนการทั้งหมด ถ้าถามว่าถ้ามาทวนจะจำได้มั้ย ก็ประมาณ55-65%  ที่จำได้   แล้วก็ยังมีการวางแผนที่คำนวณจากสถิติ เป็นแผนรายการที่อ้างอิงและกำหนดค่ามาเพื่อกำหนดความน่าจะเป็นในการติด เป็นคะแนน % ต่อการอ่านหนังสือในรายการนั้นๆ คือด้วยความที่มันไม่มีคนทำ และเราภูมิใจกับสิ่งที่ทำมาก ถ้าเปิดเผยออกมา มันจะมีคนมาติถึงข้อเสีย ที่ทุกอย่างมันก็คือการคาดการณ์และวิเคราหะ์ของเราเอง เราเลยว่าจะเก็บเงียบๆไว้คนเดียวนี่แหละ   เพราะก็มีแผนจะมารีวิวการทำแบบนี้สักวันหนึ่งหลังสอบเสร็จ  ยังไงวันนี้ก็เาประมาณนี้ไปก่อนนะ!!

 
และสุดท้ายย

โอ้ววววว เขินนนนน ต้องมาเล่าความเป็นมาของตัวเอง หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะ
ประถม
ตั้งแต่ประถมสิ่งแรกที่เราเริ่มตัดสินใจคือ เราตัดสินใจเลือกอนาคตที่ดีที่สุดให้ตัวเองเลยว่า  เราจะเข้ามัธยมที่ไหน ด้วยความที่ตอนนั้นโควต้ามี 2 รร.ที่ดี  และทั้ง2 รร.มี 2ห้องพิเศษที่น่าสนใจก็คือ ห้อง พสวท.และ ห้องจี ซึ่งมีสิ่งที่ต่างกันคือ  ห้องพสวท.ที่ถือว่าดีที่สุด มีค่าเทอมต่างกัน ของ2โรงเรียน   เราเลยเลือกที่ค่าเทอมเลย55555 จะไดเ้ไม่เป็นภาระพ่อแม่แต่ก็ได้ในสิ่งที่ดีเหมือนกัน


ม.ต้น
-ต่อมาคือช่วงม.ต้น   ที่เราจำได้คือ เราเป็นหัวหน้าห้องตอนม.1 และ 3   เราได้เป็นเพราะมีความรับผิดชอบมากๆ และด้วยตำแหน่งนี้นำมาซึ่างทักษะต่างๆมากมาย  ทั้งความเป็นผู้นำ ทักษะที่จำเป็นสำหรับการประสานงาน การคุยกับเพืิ่อนๆ การแจกงาน การแบ่งงาน การวิเคราะห์และมองภาพรวมของงาน   ในตอนม.3 มีค่ายสำหรับโครงการห้อง พสวท.ของม.ต้น  และคุณครูไดเ้ให้ พี่ม.3  เป็นคนดูแลจัดการค่ายแต่ถ้าจำไม่ผิดก็ยังมีการจ้างวิทยากรด้วย แต่ก็คือเหมือนทำงานร่วมกัน   นอกจากนี้ในช่วงม.ต้น ก็มีงานในกิจกรรมต่างๆของ โรงเรียนมากมาย ที่เพิ่มทักษะเกี่ยวกับการทำงาน ภาวะผู้นำ อะไรพวกนี้ของเรา   แล้วก็ทำให้เรารู้เมื่อเรามีทักษะในการบริหารที่มากขึ้น เราเริ่มที่จะเข้าใจว่าควรบริหารเวลา บริหารทรัพยากร(อุปกรณ์ในการทำงาน)  หรือแม้แต่บริหารคน ที่เราเริ่มที่จะจัดคนกับงานที่เหมาะสมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด  จริงๆพอมานึก สำหรับคนที่ไม่มีความกล้าแสดงออกมันคงยาก แต่เพราะเรากล้าแสดงออก มันเลย เป็นเรื่องปกติที่จะพัฒนาตัวเองไปต่อได้ โดยไม่มีอะไรกั้นนน    ไม่ใช่หยุด หยุดโดยมีความอายกั้น         แต่เอาตามความจริงคือเราไม่ค่อยชอบทำงานพวกนี้เท่าไหร่ เพราะมันแบกความรับผิดชอบมากมายเกินไปแล้วเราก็ ขก.ด้วย  แต่ยิ่งทำ เรายิ่งเก่ง ยิ่งได้ประสบการณ์
-นอกจากนี้ตอนม.1 เราก็แต่งนิยายด้วยยยยย โอ้ววววววว เขินนนน คือแต่งจบด้วยนะ5555 แล้วก็เป็นนักเขียนที่ไม่ได้เท่าไหร่ ที่ยังแต่งไม่จบอีก2เรื่อง พักไปหลายปีแล้ว แบบเอาเวลามาอ่านหนังสือ      แล้วก็มีไปแข่งsci-show  มาประมาณ3-4 ครั้งได้ตอน ม.1-2   แล้วก็ไปแข่งโครงงานคณิตศาสตร์ตอนม.3   คือที่เอามารวมกันเพราะจะสรุปให้ว่า จากประสบการณ์ทั้ง3อย่างนี้มันทำให้เราเป็นคน ใช้ภาษาไทยได้โอเคขึ้น   เวลาไปพูดหรือโน้มน้าวคนเยอะๆ เหมือนมันจะโอเคขึ้น เพราะเลือกใช้คำ น้ำเสียง ถ้อยคำ การเรียงประโยค การจัดระเบียบคำพูดได้ดีขึ้น   ซึ่งทักษะพวกนี้ก็ส่งเสริมกับการเป็นผู้นำได้เหมือนกัน
-แล้วก็ยังมีการชอบอ่านนิยาย ดูการณ์ตูนแนวต่อสู้  การมังงะ อ่านการ์ตูน  คือเราพยายามคิดว่าทุกอย่างที่เราทำอย่างตั้งใจและมีความสุขกับมันเราได้อะไรไปบ้าง สิิ่งเรานั้นให้กับเรา เราทำแบบนี้กับทุกเหตุการณเลย และสิ่งนี้ทำให้เรา มีความฝันที่จะอยากมีอนาคตที่ดี  จากการอ่านการ์ตูนเนี่ยแหละ   และมันทำให้คิดว่า  ทำยังไงถึงจะมีอนาคตที่ดี  และนั่นก็คือการวา่งแผน  บวกกับที่บ้านไม่ได้รวยอะไร ดังนั้นเราจึงอยากประสบความสำเร็จพาชีวิตตัวเองไปสู่จุดที่ดี  เราเลยเริ่มที่จะวางแผน ยิ่งวางแผน ยิ่งทำงานอื่นๆ อย่างที่เคยบอกไป ก็ยิ่งทำให้ทักษะการวางแผนของเราคือก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เราเริ่มจะวางแผนเป็นระบบ มองภาพรวม วิเคราะห์มากขึ้น  แต่สู้ม.ปลายไม่ได้หรอกนะ5555
-และตลอดระยะเวลาม.1-3  เรายังเป็นคนชอบทำตัวเด่น เพราะเราคิดว่า ถ้าเราทำตัวเด่น โอกาสจะมองเห็นเรามากกว่าคนอื่น และเราก็ไม่คิดว่าที่ตัวเองคิดแบบนั้นคือเรื่องผิด  มีโอกาสมามากมายจริงๆ อย่างแค่ทำชิ้นงาน20คะแนน  แต่บางทีเราก็ทำมากกว่า20  ทำออกมาให้ยิ่งใหญ่ เป็นที่จดจำของคุณครู  มันเหมือนการสร้างความประทับใจ  คุณครูเอ็นดูเรา เราได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้คะแนนดีๆ  ทำตัวให้น่ารักให้คนเขาพร้อมจะยื่นมือจะมาช่วยเรา ไม่ใช่การประจบ แต่เป็นการทำดีให้คนอื่นประทับใจ เราว่าส่วนนี้มันช่วยมากเหมือนกันนะ   สรุปๆก็คืออะไรพวกนี้นำโอกาสเข้ามา แถมเรายังรู้อีกว่าตัวเองเป็นชอบการเอาชนะ อยากเป็นที่สุดในหลายๆอย่าง
-แล้วจะไม่พูดคงไม่ได้ คือที่เคยพูดไปว่าเราเคยนั่งเอาคะแนนเพื่อนมาวิเคราะห์ มาคิดร้อยละ  มาเรียงลำดับเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งไหน  เพื่อจะได้พัฒนาไปสู่จุดที่ดีกว่า  การทำอะไรพวกนี้ ทักษะทุกอย่างมันก็ส่งๆกันมาหมด ไม่ใช่อะไรเกิดก่อนกัน แต่ทุกอย่างนำมากันและกัน  สิ่งที่เราได้จากการทำอะไรแบบนี้ คือเราได้รูเ้ว่าตัวเองรักข้อมูล รักการวิเคราะห์  การเปรียบเทียบ รักตัวเลขทางสถิติต่างๆมากมาย  และทุกสิ่งเหล่านี้มันส่งผลให้ทักษะหลายๆอย่างผุกกันเป็นตัวเรา  โคตรมีความสุข ที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร  มันเหมือนรู้ว่าเราจะทำอะไรให้ตัวเองมีความสุข ทำอะไรให้ตัวเองก้าวหน้า  ไม่ควรทำอะไร พัฒนายังไง
-และมีบางเหตุการณ์ทีี่ไม่ทำให้รู้ว่าเรามีทักษะอะไร  แต่สร้างทัศนคติและมุมมองความคิดบางอย่างที่เราชอบมากๆ มีตอนม.2 และ ม.3 ที่มีงานให้ทำวิดิโอจาก ppt และมีวิชาโครงงานให้เรียน   ตอนนั้นงานกลุ่มของงานวิดิโอ กลุ่มเราไม่มีใครทำเป็น และเราเป็นคนเสนอว่าจะลองทำเพราะเรามีความคิดเล็กๆว่าเราน่าจะทำได้เราเก่ง   จากนั้นเราก็เริ่มศึกษาการทำ เจอปัญหาเพราะเวอร์ชั่น office ที่บ้านมัน2007 และทำไม่ได้ ก็ต้องวุ่นวายทำที่รร. อะไรแบบนี้ จากคนที่ไม่รู้อะไร กลายเป็นเราศึกษาและทำมันจนเสร็จ จนมันได้   ซึ่งทำจุดประกายทัศนคติที่ว่า   ทุกคนสามารถทำทุกอย่างได้ถ้าพยายาม  เราสามารถทำได้ทุกอย่าง เราแค่ต้องพยายาม เป็นคนที่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ และทำงานภายใต้แรงกดดันได้ดี(หลังๆ ม.ปลายคือเรารู้ตัวว่าเราเป็นคนที่ชอบอยู่ภายใต้แรงกดดันแบบคนโรคจิตเลย5555 แปลกแต่จริง และเราเองด้วยที่กดดันตัวเอง ทำแล้วมีความสุข แต่เราก็มีวิธีผ่อนคลายตัวเอง คือเราจัดการชีวิตในทุกอารมณ์ได้) พวกโครงงานในม.3 กลุ่มเราก็ทำเล่มเสร็จก่อน เราได้รู้ทักษะการทำเล่มเยอะเลย แถมเพิ่มความมั่นใจที่ว่าเราเก่งถ้าพยายามด้วย
-ขอไม่พูดถึงสิ่งที่ต้องเจอพวก เพื่อนไม่เข้าใจ เพราะสำหรับเรามันไม่ได้ขนาดนั้น  คือไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น คือไม่ใช่ว่าโดนเพื่อนเกลียด ทุกคน มันก็มีคนเข้าใจ   และคนที่ไม่เข้าใจในตัวเรา เราก็มีข้อเสียที่ตอนนี้เราก็รู้ดีมากมาย ไม่ใช่ว่าทุกคนมีแต่ข้อดี ขอกลับมาพูดต่อออออ    


ม.3 ขึ้น .4 นั่งคิดกับตัวเอง สังเคราะห์ตัวเอง+ ม.ปลาย
-หลังจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือมันก็มีเรื่องอื่นๆอีักแต่อาจจำไม่ได้ หรือบางอย่างมันก็เล้กน้อย เยอะแยะไปหมด คือเล่าอันที่เห็นได้ชัดๆ   สรุปแล้วมันทำให้เรารู้ตัวว่าเรารักการวิเคราะห์ข้อมูล ตัวเลข เราชอบข้อมูลทางสถิติ เรามีความเป็นผู้นำ เราสามารถมองภาพรวมของหลายสิ่งได้ดี  และอนาคตเราก็ยังพัฒนาไปอีก(อย่างในม.ปลาย เราไม่ได้มีดีแค่มองภาพรวม แต่รายละเอียดเราก็เก็บเหมือนกัน)   เรามีทักษะในการสื่อสารที่โอเคมากๆ เราสามารถประสานงานกับคนอื่นได้ พุดให้คนอื่นสนใจ โน้มน้าม(บางครั้งก็ดูเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ถ้ามีคนเสนอความคิดอะไรมาเราก็รับฟัง และถ้าเราวิเคราะห์ว่ามันดีกว่า คนอื่นเห็นด้วย ในงานครั้งนั้นเราจะเปลี่ยนทันที แต่ถ้าเราคิดว่าตัวเองคิดถูกเราก็จะทำอย่างนั้น และหลายครั้งที่เราคิดถูก มันเลยยิ่งเพิ่มความมั่นใจ ส่วนใหญ่เกิดตอนม.ปลาย) เรามีทัศนคติที่ว่าเราเราทำได้หลายอย่างถ้าพยายาม   เรากล้าแสดงออก ยิ่งมีทักษะการสื่อสารอย่างอื่เพิ่มขึ้นทำให้ทุกอย่างพัฒนา เราชอบวางแผนและทักษะหลายๆอย่างก็สิ่งผลกันเองให้มันพัฒนากันไป  ทำให้ตัวเรารักตัวเองมากๆ  เราชมตัวเองตลอดว่าเธอมันสุดยอดดดด  เธอเก่งมากมิสซิสสสสรรรรร
-คือภาพรวมก็คือ ทักษะมันยิ่งพัฒนามากขึ้น เราได้บริหารจัดการกิจกรรมต่างๆในห้อง จัดการค่ายบางครั้ง  ยิ่งมีงาน มีกิจกรรมทักษะตรงนี้ของเรายิ่งพัฒนา  คือจากที่พูดมามันจะดูเป็นทักษะฝั่งsoft skills มากกว่าพวกทักษะฝั่งhard skills    นั่นเลยหมายความว่าเราเหมาะกับอะไรพวกฝั่งนี้มากกว่า แถมเป้า หมายเราคือรวย555 เราเลยลังเลว่าเราเรียนบัญชีที่ไม่เหมาะเก็บตังแล้วไปเปิดธุรกิจดีมั้ย หรือจะเรียนบริหารที่เหมาะมากๆ ทำงานเก็บเงิน  แต่มันไม่ชัวเท่าบัญชีที่เงินดีและสูง คือเราไม่กลัวai เท่าไหร่ เราว่าเราเอาตัวรอดได้ เราเรียนรู้และปรับตัวได้ เราว่าเราไหวเลยไม่กังวลจุดนี้    แรกๆก็ตัดสินใจว่าจะเอา จุฬาหรือ มธ ดี เหมือนเครดิตมธ.ใน นานาชาติดีกว่าเลยเลือกที่นี้  และได้ไปค่าย บัญชี-บริหารมธ.ที่นี่ด้วย เลยได้รู้ว่าถ้าเข้าไปสามารถย้ายจากบัญชีไปบริหาร หรือจากบริหารไปบัญชีได้ มีวิชาโท หรือแม้แต่เอกคู่   เราเลยแบบบบบบบบบบ  เอกคู่ไง   จบด้วยวิชาชีพบัญชี และก็มีเอกบริหารสักตัวที่สนใจด้วย ตอบโจทย์ชีวิตมากๆๆๆๆ  ดังนั้นเหลือแค่ให้ติด ชีวิตก็จะติดบีกมีความสุข   ด้วยความที่ชีวิตเหลือแค่ติด เราเลยวางแผนที่มันสุดยอมมากๆในมุมมองเราออกมา   และก็พยายามอ่านหนังสือเพื่อให้ติด!!  ก็กลัวเหมือนกันว่าถ้าไม่ติด  แต่คือมันก็มั่นใจว่าถ้าเราได้ตามที่วางไว้ก็ติดแน่ๆ   แต่มันทำไม่ได้ตามแผนแน่ๆ เพราะสำหรับเราคือถ้าทำตามได้หมด โอกาสติดคือ100%  แต่ไม่มีอะไรรับประกัน มันแค่มุมมองของเรา  แค่เราว่าทำได้ดีสุดคง60%   
-ชีวิตม.4 ก็เรียนปกติ  ม.4เทอม2-ม.5เทอม1  รู้มาว่าแบงก์ชาติมีทุนอันหนึ่งที่ดีมากๆ เราก็ทุ่มอ่านหนังสือหนักมากๆช่วงนั้น แต่เราก็คิดแล้วว่า ถ้าจะติดต้องทุ่มมาก แต่ก็จะเสียเวลาอ่านหนังสือขึ้นม.6ไป  เราก็ตัดสินใจว่าจะเสี่ยงและผลคือไม่ได้  แต่เราก็ไม่เสียใจ เพราะเราทำเต็มที่มาก เราประทับใจในการวางแผนเตรียมตัวเอาทุนนี้มากๆ แบบว่าโคตรสุดยอดดดด   แล้วก็เพิ่งว่างแผนแบบversionเต็มๆ ก็ตอนม.6  ดังนั้นช่วงนี้ก็คืออ่านหนังสืออย่างเดียว(อ้อ เราไม่เคยเรียนพิเศษอะไรที่ไหนนะ มีเรียนตอนม.ต้น 2 3ครั้ง แต่ก็แบบไม่พูดดีกว่าว่าทำไม555  ม.ปลายได้เกรด3.90+  ไม่เคยได้4.00สักที พยายามแล้วแต่ เอาที่ใจไหว ส่วนใหญ่ไม่ได้วิทย์ คือเราไม่ชอบวิทย์แต่ก็เรียน พสวท พิเศษวิทย์นะ ด้วยที่ว่าสังคมในห้องดีกว่า คืออยู่ต่่างจังหวัดอ่า ประเทสไทยก็แบบนี้แหละ55)                  



ก็ประมาณนี้แล้วกัน คือเราอยากให้กระทู้นี้มันช่วยทุกคนจริงๆนะ แถมพวกรูปเราก็ให้เพื่อนช่วยทำให้ด้วย ขอขอบคูรไว้ตรงนี้เลยยย   อยากให้ทุกคนอ่านและเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราพยายามจะสื่อออกไป ส่วนพาร์ทของตัวเรา ถ้าอ่านแล้วหมันไส้ก็ขอโทษด้วย5555  ถ้ามีคำผิดเยอะก็ขอโทษด้วยย เรามีแผนว่าสอบเสร็จจะมาบอกว่าเตรียมตัวยังไง อีกที ยังไงถ้า่ใครมีอะไรจะปรึกษาก็ทักมาได้นะ    ig:tiit_er           หวังจริงๆว่าประสบการณ์ตรงนี้ของเราจะช่วยคนอื่นได้ไม่มากก็น้อย เราก็ไม่ใช่คนเก่งที่เรียนมาเพื่อแนะนำใครได้โดยตรง      ทุกอย่างเกิดจากการนำประสบการณืของตัวเองมาสังเคราะห์ วิเคราะห์ และเรียบเรียงออกมาให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก ใครที่อ่านแล้วก็ช่วยกันส่งต่อออกไป   ช่วยพิมพ์ความเห็นเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันโอเคมั้ย กลัวเหมือนกันว่าแบบ ก็ไม่ได้รู้ดีแต่มาสอนคนอื่น ขอบคุณล่วงหน้าน้าาาา                   
 

แสดงความคิดเห็น

>

1 ความคิดเห็น