การเปลี่ยนเเปลงทางอารมณ์ของตัวละครเร็วเกินไป
“คือแบบว่า... คำถามก่อนหน้านี้ที่เธอพูดออกมามัน... ทำให้ฉันรู้สึกจุกอกนิดหน่อย เธอถามว่าฉันยังไม่ยอมแพ้ใช่ไหม... ฉันรู้ว่ามันเป็นคำปลุกใจแต่... ตอนนี้ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆแล้วล่ะ...”
“นายหมายความว่ายังไง... ทำไมคนหัวดื้อระดับนี้ถึงยอมแพ้ด้วยตัวเองซะล่ะ...”
“ฉันออกไปตามหาผู้รอดชีวิตคราวนี้นานถึงห้าวัน เพราะฉันต้องการอยากจะได้พบกับสัญญาชีพอื่นๆบนดาวดวงนี้บ้าง ก็เลยตั้งใจจะไม่กลับจนกว่าจะได้เจอใครสักคนที่ยังมีลมหายใจ ไม่ใช่ซากศพที่เดินไล่ล่าฆ่าคนเป็นผักปลาโดยไม่มีเหตุผล แต่ที่กลับมาเพราะฉันยอมแพ้... ฉันรอนแรมอยู่ข้างนอกนั่นด้วยความหวัง... แต่เธอรู้ไหม อะไรที่ทำให้ฉันตัดใจ... ลองดู-สิ่งที่ฉันไปเห็นมานี่สิ...”
ชายหนุ่มกวักนิ้วชี้ซ้ายเพื่อสั่งการให้ลูกบาศก์ลอยย้อนกลับมาอยู่ในมือของเขา ก่อนจะใช้มันฉายภาพ ซากปรักหักพลังของนครคอนกรีตที่ล่มสลาย จนเหลือแต่เพียงร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในอดีต
“ไม่นะ... พวกเรา...”
“ใช่... เธอเข้าใจถูกแล้วล่ะ... ไอรีน... การเดินทางของพวกเรามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว...”
เบื้องหน้าความจริงอันแสนโหดร้าย หญิงสาวที่ดูแข็งแกร่งทั้งภายนอกและภายในก็ไม่อาจจะสามารถยอมรับสิ่งเลวร้ายที่เข้ามาบั่นทอนทำลายความหวังจนต้องเบือนหน้าหนี
“ไม่... มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้... การเดินทางตลอดแปดปี... มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย...”
“...”
น้ำตาจากต่อมใต้ความรู้สึกที่ถูกเก็บเอาไว้ หลั่งไหลจนล้นปรี่ลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างโดยไม่สามารถจะหยุดยั้งมันได้เลยแม้แต่หยดเดียว เธอพยายามจะหันหน้าไปทางอื่น เดินโซซัดโซเซด้วยขาที่อ่อนกำลังจากความชอกช้ำ หลบซ่อนมุมที่อ่อนไหวเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นในมุมมืด สะอึกสะอื้นอยู่เพียงลำพัง
“ในจุดเริ่มต้น... คณะเดินทางของพวกเรามีกันยี่สิบ อีกสี่ปีต่อมาเหลือหก ตอนนี้เหลือสอง... ออสติน... พวกเราทำอะไรผิด... ทำไมพระผู้เป็นเจ้าถึงทอดทิ้งพวกเรา... สิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่มันคือการทดสอบจากพระองค์... หรือมันคือคำสาปที่เขาลงโทษต่อบาปที่เรากระทำ...”
“...”
หญิงสาวบอกกล่าวกับตัวเองด้วยน้ำเสียงสุดสะอื้น ก่อนจะหยุดปาดน้ำตาและเริ่มครวญครางต่อสิ่งที่เธอเคารพบูชา แต่ความเจ็บปวดก็เริ่มผ่อนเบา เมื่อมีใครสักคนช่วยแบกเรามันเอาไว้ ชายหนุ่มโอบกอดหญิงสาวจากด้านหลังด้วยความรัก ทำให้เธอหันหน้ากลับมาซบอกแล้วระบายอารมณ์ผ่านวารีที่อธิบายได้ดีกว่าวาจา
“ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือคำสาป ฉันสาบานว่าจะอยู่กับเธอไปจนถึงวินาทีสุดท้าย เธอจะไม่เดียวดายหากฉันยังมีลมหายใจ”
“ออสติน... ขอบคุณนะ...”
หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสายตาแห่งความสุขอันอ่อนละมุนไปด้วยความอบอุ่น และกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกที่ขุดลึกออกมาจากใจ
“ไม่หรอก... ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ... ถ้าวันนั้นเธอไม่ได้ช่วยชีวิตฉันไว้... ฉันคงจะตายโดยที่ไม่มีทางได้รู้เลยว่า ชีวิตมันมีค่ามากแค่ไหน เมื่อมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่เพื่ออยู่รอด แต่อยู่รอดไปด้วยกันกับคนเรารัก...”
“ฉันก็รักนายเช่นกัน...”
ผมรู้สึกว่ามันเศร้าเเล้วเปลี่ยนเป็นสุขเร็วเกินไป ควรจะทำยังไงดีครับ
8 ความคิดเห็น
อืม... ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะเวิร์คไหมเพราะผมก็เป็นประเภทเห่ยเรื่องการบรรยายฉากฟีลลิ่งพอสมควรเลย 55+
ผมคิดว่าน่าจะลองตัดคำหรือประโยคที่เกี่ยวกับ "การบอกรัก" ออกไปดูครับ เพราะว่าคำพูดอื่นๆมันก็สื่อให้เห็นถึงความรักไปแล้วล่ะ ก็เลยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็ได้
อาจจะบรรยายฉากที่ทำให้เห็นถึง "ความหวัง" ในรูปแบบอื่นๆขึ้นมาแทน โดยที่ยังถือว่าคุมโทนสีเทาๆของฉากไว้อยู่ (เพราะเมื่อใดที่ฝนซา มันก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะหยุดตกไปในทันทีใช่ไหมล่ะครับ)
ขอบคุณครับ
เราว่าแบบนี้โอเคแล้วค่ะ จับทางหลักๆได้คือมีคนหนึ่งรู้สึกท้อแท้และดูมีท่าทีเหมือนจะยอมแพ้โบกธงขาวซะแล้ว 555 แต่มีอีกคนให้กำลังใจ ด้วยคำพูดที่ว่า “ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือคำสาป ฉันสาบานว่าจะอยู่กับเธอไปจนถึงวินาทีสุดท้าย เธอจะไม่เดียวดายหากฉันยังมีลมหายใจ”
ลองนึกดูสิคะ หากมีคนมาพูดแบบนี้กับคุณในวันที่คุณท้อแท้และสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด คุณจะรู้สึกยังไง แน่นอนว่าต้องมีกำลังในการก้าวต่อไปอยู่แล้ว เพราะมีคนคนหนึ่งจะคอยอยู่กับเราเสมอ พยุงเราในวันที่เราล้ม แค่นี้ก็เป็นแรงใจขนานเยี่ยมแล้วค่ะ
ส่วนที่จขกท.รู้สึกว่ามันเปลี่ยนจากเศร้ามาสุขเร็วไปรึเปล่า เราขอติจุดนึง ตรงจุดที่พอพระเอกพูดว่า
“ไม่หรอก... ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ... ถ้าวันนั้นเธอไม่ได้ช่วยชีวิตฉันไว้... ฉันคงจะตายโดยที่ไม่มีทางได้รู้เลยว่า ชีวิตมันมีค่ามากแค่ไหน เมื่อมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่เพื่ออยู่รอด แต่อยู่รอดไปด้วยกันกับคนเรารัก...” ตรงท่อนนี้เนี่ยต่อมานางเอกก็บอกรักทันที มันดูรวบรัดตัดตอนไปนิดนึง นางเอกควรมีความประหลาดใจก่อน เช่น
"นายหมายความว่าไง" หญิงสาวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีครามสวยดุจท้องทะเลลึกนั้น (มั่ว)
"ฉันรักเธอ รักตั้งแต่วันที่เธอช่วยชีวิตฉัน" ในดวงตาคมนั้นเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งยิ่ง
ในดวงตากลมของไอรีน รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาใส เธอไม่คิดเลยว่าคนที่เธอรักมานานก็รักเธอเช่นกัน นี่เองคือรสชาติของความรัก ..
“ฉันก็รักนายเช่นกัน...”
ลองเก็บไว้พิจารณาดูนะคะ ^^ หวังว่าเม้นของเราจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณมากครับ เเต่สองคนนี้เเต่งงานมีลูกด้วยกันเเล้วน่ะครับ ก็เลยพูดกันออกมาโต้งๆเเบบนั้น
อ๋อ ขอโทษค่ะ คือเราไม่รู้ธีมเรื่องว่าก่อนหน้านี้มันเป็นมายังไง ก็พิจารณาไปตามเนื้อผ้าที่คุณเขียนมาข้างบนเพราะคุณไม่ได้บอกความเป็นมาอะไรก่อน
โอเค คราวหน้าจะจำไว้เวลาตั้งกระทู้เเนวนี้ ยังไงก็ขอบคุณมากสำหรับคำเเนะนำครับ
สำหรับเรานะ... คิดว่าแทนที่จะบอกว่าไอรีนมีความสุข เปลี่ยนเป็นยังคงความวิตกเอาไว้ดีกว่าไม่ใช่แป๊บๆมามีความสุข คิดถึงตอนผิดหวังแล้วก็มีคนมาให้ความหวังเราอีกที มันจะสบายใจก็ไม่ใช่อมทุกข์ก็ไม่เชิง ในกรณีนี้แนะนำให้เปลี่ยนเป็นไอรีนรู้สึกคลุมเครือแทนค่ะ จะดีกว่า
ขอบคุณครับ
เราคิดว่า ตรง "หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสายตาแห่งความสุขอันอ่อนละมุนไปด้วยความอบอุ่น และกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกที่ขุดลึกออกมาจากใจ"
ท่อนนี้ที่เปลี่ยนอารมณ์
คำว่า "สายตาแห่งความสุข" ตรงนี้ควรเปลี่ยนเป็นคำอื่น มันไม่ใช่ความสุขเสียทีเดียวหรอก น่าจะมีคำอื่นมาใช้แทนได้ดีกว่านี้ ถ้าใช้คำอื่นมันจะไม่ดูเปลี่ยนอารมณ์เร็วไป
หรืออาจจะเปลี่ยนเป็น หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความอบอุุ่น และกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกที่ขุดลึกออกมาจากใจ
แงง เราก็บรรยายไม่ค่อยเก่งนะ ถ้ามีคำอื่นมาใช้มาปรับได้ดีกว่านี้ก็ลองแก้ไขดูนะคะ เราแค่ลองเกริ่นๆ
ขอบคุณครับ
เร็วไปจริงๆครับ แต่ผมแก้ไม่เป็นแฮะ ส่วนใหญ่จะพักวางไว้ แล้วกลับมาลองเขียนใหม่ดูสักสองสามครั้ง มันจะคมขึ้นเองน่ะครับ ถ้าไม่คมขึ้นก็ทิ้ง เขียนฉากอื่นแทน
ส่วนตัวผมนะ ฉากหลังจากเหตุการณ์ช็อก ไม่ควรมีฉากบอกรัก เพราะมันขัดกันมาก ๆ อย่างที่เจ้าของกระทู้รู้สึกนั้นแหละ
ในเหตุการณ์นี้อาจจะแค่กอด แล้วบอกกับผู้หญิงเชิงปลอบใจ และสัญญาว่าจะปกป้อง
ส่วนฉากบอกรัก หาโอกาสอื่นจะดีกว่า
หลังจากนี้จบเลยหรือเปล่า ถ้าจบเลย คงต้องแก้เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ให้เหตุการณ์ช็อก แยกออกจากการบอกรัก ไม่ต้องมากก็ได้ แค่ให้มีช่วงเวลาแห่งความหวังเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง
// ระบายอารมณ์ผ่านวารีที่อธิบายได้ดีกว่าวาจา โอ้.... ผมคิดถึงฉากพระนางแลกลิ้นกันซะอย่างงั้น ขอโทษที่หื่นไปนิด อิอิ
จากสถานการณ์ที่ต้องเดินทางไปบนเส้นทางแห่งความตาย ด้วยความทุกข์ทรมานทั้งร่ากาย
ซึ่งเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เพราะการเดินทางอันยาวไกลราวไร้จุดสิ้นสุด และบาดแผลจากการ
ต่อสู้ รวมถึงจิตใจซึ่งแทบแหลกสลายลงทุกครั้ง ซึ่งต้องทนดูผองเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมรวม
ยี่สิบคน ต้องพลีชีวิตไปแทบจะทุกครั้งของการต่อสู้ กระทั่งหลงเหลือผู้รอดชีวิตเพียงสองคน
เท่านั้น..
สองคนซึ่งเปราะบางจนแทบไม่สามารถต่อต้านการจู่โจมทุกรูปแบบได้อยู่แล้ว ผนวกกับการ
ได้รับรู้ถึงสภาพของเมืองที่ทั้งสอง และบรรดาผู้ร่วมชะตากรรมสู้เพียรบากบั่นเดินทางมา จน
ต้องเสียชีวิตไปเกือบหมดทั้งขบวน ด้วยหวังจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยและป้องกันอันตราย ซึ่งบัด
นี้เป็นเพียงเมืองร้างที่เต็มไปด้วยกองหินดินทราย และซากศพซึ่งพร้อมจะแปรสภาพเป็นอสูร
กาย ออกไล่ฆ่าทุกชีวิตที่มันพบเห็นด้วยความบ้าคลั่งทันที ที่มันคืนชีพขึ้นมาอีีกครั้ง..
อารมณ์ที่เปลี่ยนไปของตัวละคร จึงเป็นผลอันสมควรแก่เหตุและช่วงเวลา อย่างเหมาะสมไม่
ช้าหรือเร็วเช่นที่ผู้ตั้งกระทู้กังวล สิ่งที่น่ากังวลและควรแก้ไขที่แท้จริง คือ สำนวนซึ่งสื่อความ
ได้ไม่ชัดเจน คำฟุ่มเฟื่อย คำที่ใช้ผิดความหมาย และรูปประโยคต่างๆ ดั่งตัวอย่างซึ่งไม่เรียง
ตามลำดับ หรือความสำคัญใดๆ..ดังนี้
น้ำตาคือน้ำตา ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ใช้บรรยายอารมณ์ของตัวละคร จึงไม่ควรใช้ "วารี"
หรือตุ่มต่อมใต้ความรู้สึกราวกับการบรรยายถึงระบบทางชีวภาพ ซึ่งมีความหมายแตกต่างกัน
มาใช้บรรยาย และการรำพึงซึ่งคล้ายคำที่เอ่ยด้วยความสงสัย หรือคำต่อว่าต่อขานแกมสอบ
ถาม หรือประชดประชันพระเจ้า ก็ไม่ควรใช้คำว่า "ครวญคราง" เพราะมีความหมายแตกต่าง
กัน เช่นกันครับ ผิดถูกตกหล่นขอโทษด้วย..บายครับ
ขอบคุณมากครับ
“ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือคำสาป ฉันสาบานว่าจะอยู่กับเธอไปจนถึงวินาทีสุดท้าย เธอจะไม่เดียวดายหากฉันยังมีลมหายใจ”
“ออสติน... ขอบคุณนะ...”
ตรงนี้ เรารู้สึกไม่ค่อยอินนะคะ ขาดฟีลลิ่งไปประมาณนึง น่าจะเว้นเป็น
"ออสติน..." หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยสายตาแห่งความสุขอันอ่อนละมุนไปด้วยความอบอุ่น ก่อนกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกที่ขุดลึกออกมาจากใจ
"ขอบคุณนะ...”
มากกว่าค่ะ เราอยากให้มันยื้อหน่วงอารมณ์สักหน่อยในช่วงนี้ คติ ช่วงดราม่าควรยืด ส่วนช่วงบู๊ต้องกระชับค่ะ
ขอบคุณมากครับ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?