หนีตามยุโรป สู่ "มิลาน อิตาลี" ศูนย์กลางแฟชั่นของโลก

           "คุณกาลิเลโอคะ วันนี้ชาว Dek-D.com คนไหนอ่านคอลัมน์เรียนต่อเมืองนอกบ้างคะ"

              สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้เริ่มต้นกับประโยคเด็ดจาก ภาพยนตร์สุดฮิตตอนนี้ที่ พี่เป้ ก็แอบไปดูมาแล้ว ... หนึ่งในสถานที่ที่สำคัญที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ วิหารดูโอโม ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี (ลองนึกถึงฉากที่เชอรี่ได้ทำงานที่มิลานแล้วไปเดินระลึกถึงความหลังตอนที่อยู่กับนุ่น) ใครยังไม่ได้ดูก็ไม่ต้องเสียดายไป เพราะวันนี้ พี่เป้ จะพาน้องๆ ไปตะลุยเมืองมิลานกัน ใครพร้อมแล้วก็หนีตาม พี่เป้มาเลย !!!!!

               เมืองมิลาน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ชื่อเมืองมิลานมาจากภาษาเซลต์ คำว่า Mid-lan ซึ่งหมายถึงอยู่ กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ และได้ถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นที่มีชื่อเสียงของโลก

                การเดินทางมาที่เมืองมิลานนั้น หากเดินทางโดยการนั่งรถไฟจากเมืองอื่นๆ ก็สามารถทำได้ง่ายมาก โดยนั่งมาลงที่สถานีรถไฟ Milano Centrale จากนั้นให้น้องๆ เดินต๊อกแต๊กมายังบริเวณหน้าสถานี น้องๆ จะเจอป้ายตัว M เป็นสัญลักษณ์ของ Metro หรือรถไฟใต้ดิน ที่จะพาน้องๆ เข้าเมือง เพื่อไปเที่ยวในตัวเมืองมิลานกันต่อไป

 {pic-desc}           

              ระบบการเดินทางของรถไฟใต้ดินนั้นมีหลายสาย โดยสายที่น้องๆ กำลังจะนั่งนั้นคือสายสีเหลืองที่สถานี Centrale FS (สถานีรถไฟของมิลาน) เพื่อไปลงยังสถานี Duomo !!  

              ซึ่งการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินหรือเมโทรในมิลานนั้น นับว่าต้องค่อนข้างระวังตัวกันอย่างมาก ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแฟชั่น แต่มิลานก็ยังมีชื่อเสีย(ไม่ใช่ชื่อเสียง)ในด้านของมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบต่างๆ ทั้งกรีดกระเป๋า หรือมาในรูปของยิปซีที่แต่งตัวรุ่มร่าม เข้ามาแกล้งเดินชนแล้วเชิดกระเป๋าสตางค์ของเราหนีไปซะดื้อๆ เพราะฉะนั้น วิธีที่พี่เป้อยากแนะนำเลยคือ ควรจะสะพายกระเป๋าเป้ไว้ด้านหน้า หลีกเลี่ยงการสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลังหรือด้านข้าง เพราะเสี่ยงมากๆ รวมถึงอย่าแต่งตัวเว่อร์หรือพกของมีค่า พยายามทำตัวให้ดูเหมือนว่าเราเป็นคนเอเชียที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นมากกว่าให้ดูเหมือนว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว

              เมื่อนั่งรถไฟใต้ดินมาได้สักพัก น้องๆ ก็จะเดินทางมาที่สถานี Duomo (ดูโอโม) ให้เดินตามทางที่คนเดินออกเยอะๆ เลยค่ะ

และเมื่อโผล่ขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน น้องๆ ก็จะเจออย่างนี้

               และที่กำลังตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าของน้องๆ ตอนนี้ก็คือ วิหารดูโอโม (DUOMO) ซึ่งเป็นวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก โดยใช้เวลาสร้างทั้งสิ้น 500 ปี !! เพราะฉะนั้นคนมิลานก็จะมีคำพูดติดปากว่า "ช้าเหมือนกับสร้างดูโอโม" เช่น ถ้าเพื่อนมาตามนัดช้า ก็จะตะคอกใส่เพื่อนว่า "แกนี่มาช้าอย่างกับสร้างดูโอโมเลยนะยะ !!"

               หากหันหน้าเข้าวิหารดูโอโม ทางซ้ายมือของน้องๆ ก็จะเห็นสถาปัตยกรรมอีกหนึ่งสิ่ง ที่กำลังยืนอวดความสวยงามอลังการโชว์แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งก็คือ  แกลเลอเลีย วิตตอริโอ เอมานูเอเล 2 (Gallerlia Vittorio Emanuele II) หรือเรียกกันติดปากว่า แกลเลอเลีย ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ขึ้นชื่ออันดับโลก พี่เป้ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี จะเรียกว่าห้างก็ไม่ใช่ งั้นขอเรียกว่า "อาณาเขตช้อปปิ้ง" ละกัน

 {pic-desc} 

                ซึ่งในอาณาเขตนี้ก็จะรวมแบรนด์เนมชื่อดังระดับโลก ราคาก็ไม่แพงมาก แต่ต้องขายบ้านซื้อกันเลยทีเดียว - -" เช่น  Louis Vuitton , Versace , Prada , Tod's , และอีกมากมาย ซึ่งหากใครไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการช้อปปิ้ง ก็สามารถเดินชมรอบๆ และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันได้ค่ะ

                มาถึงด้านอาหารการกินกันบ้าง เมื่อมาถึงอิตาลีแล้ว หากใครไม่ได้ลิ้มรส "สปาเกตตี้" ก็เหมือนยังมาไม่ถึงอิตาลีจริงๆ ไหนๆ กินร้านไหนดีนะ ?????? เอาร้านนี้ละกัน !

               
               ว่าแล้วพี่เป้ก็แอบเสียวกับราคาอาหารจริงๆ ร้านหรูๆ ตั้งในแกลเลอเรียแบบนี้ จะสู้ราคาไหวมั้ยเนี่ย ว่าแล้วก็หยิบเมนูมาดูแล้วก็ตกใจมาก เพราะราคานั้นก็ไม่ได้ถือว่าแพงมากมาย คือตกจานละประมาณ 9-12 ยูโร ซึ่งเป็นราคาปกติของยุโรป ส่วนมื้อนี้ พี่เป้ขอสั่งสปาเกตตี้คาโบนาร่าละกัน (ที่เมืองไทยไม่มีให้กินใช่มั้ยเนี่ย)

{pic-desc}
  "อื้มมมม นุ่มลิ้นดี" เสียงพี่เป้แอบนึกในใจ หลังจากได้ชมรสชาติสปาเกตตี้ตรงหน้าที่หอมนุ่มไปด้วยเนย

                หลังจากกินของคาวเรียบร้อย ก็ไม่ลืมที่จะเดินเข้าหลังร้านเพื่อเตรียมล้างจาน เอ๊ย ไม่ใช่!! ต้องสั่งของหวานมาตบท้าย แหม ก็ที่อิตาลีเค้าขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมด้วยนี่นา สนนราคาถ้วยนี่ที่ 4.5 ยูโร ขอบอกว่ากินแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เพราะอร่อยสุดยอดจริงๆ

{pic-desc}

               หลังจากกินอิ่มแล้ว พี่เป้ขอปิดท้ายทริปในวันนี้ด้วยการนั่ง Sightseeing Bus ที่จอดรอนักท่องเที่ยวอยู่ที่ถนนตรงข้ามวิหารดูโอโมเพื่อนั่งรถชมวิวทั่วๆ เมืองมิลานในราคา 20 ยูโร ซึ่งรถบัสนี้ก็จะพาน้องๆ ไปเยือนจุดที่สำคัญต่างๆ ในเมืองมิลาน โดยรถจะจอดรับผู้โดยสารทั้งหมดประมาณ 10 จุด ซึ่งน้องๆ ก็สามารถลงจากรถเพื่อไปชมสถานที่ต่างๆ ได้ และสามารถกลับมาขึ้นรถบัสคันต่อๆ ไปได้ที่จุดเดิมโดยไม่ต้องจ่ายเงินใหม่ (แต่อย่าลืมพกตั๋วรถบัสไว้ด้วยนะ) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว พี่เป้ค่อนข้างจะติดใจไปกับความ
สวยงามของสถาปัตยกรรมบ้านเรือนในมิลานมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญซะอีก เพราะบ้านเมืองเค้าสวยงามไม่ใช่เล่นๆ เลยนะเนี่ย

              สุดท้ายพี่เป้อยากขอเตือนเรื่อง "มิจฉาชีพ" อีกที โดยเฉพาะรอบๆ ดูโอโมนั้น เรียกได้ว่ามีมิจฉาชีพคอยจับตามองเราอยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะ พวกคนผิวดำ ที่พยายามจะเข้ามาหาและเอาสายสิญจน์หรือเชือกเล็กๆ มาผูกข้อมือของเรา ซึ่งเราอาจจะงงๆ ว่า อะไรเนี่ย มาผูกทำไม แต่ความงงนั้นก็จะงงยิ่งกว่าเดิม เพราะหลังจากผูกเสร็จแล้ว พวกคนผิวดำนั้นก็จะร้องเอาเงินจากเรา ซึ่งถ้าเราไม่ยอมจ่าย พวกนั้นก็จะตะโกนเรียกเพื่อนคนผิวดำเหมือนกันให้มาขู่บังคับให้เราจ่ายให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นคนผิวดำเดินตรงมาที่เราเพื่อจะผูกเชือกที่ข้อมือให้น้องๆ รีบเดินหนีเลยนะคะ

{pic-desc}

               เป็นยังไงกันบ้างคะกับทริปมิลาน หวังว่าคงจะถูกใจน้องๆ กันนะคะ ^^ ใครอยากให้ พี่เป้ พาหนีไปเที่ยวที่ไหนก็รีเควสท์มาได้เลย  ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง พี่เป้ จะบินลัดฟ้าพาไปเที่ยวอีกแน่นอน 5555 (เว่อร์ซะ) แต่อย่างไรก็ตาม เที่ยวเมืองนอกแล้วก็อย่าลืมเที่ยวเมืองไทยด้วยนะคะ ถึงต่างประเทศจะสวยงามแค่ไหน แต่ไม่มีที่ไหนสวยและมีความสุขเท่าอยู่เมืองไทยอีกแล้วล่ะ