สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com พี่พิซซ่า คิดว่าน้องๆ คงได้ยินเรื่องราวของเรือ Titanic มาบ้างแล้ว น่าจะเคยชมภาพยนตร์กันมาแล้วด้วย แต่วันนี้พี่มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมครั้งนั้นค่ะ ถือเป็นการรำลึกถึงผู้เสียชีวิตทั้งหมดในวันนั้นด้วย
1. คืนนั้นอากาศดีมาก
เวลาพูดถึงเรือล่ม คนส่วนมากก็ต้องคิดถึงสภาพอากาศที่เลวร้าย ยิ่งเป็นเรือใหญ่ที่สุดของยุคนั้นด้วย ทะเลน่าจะมีคลื่นสูงหรือพายุพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงถึงทำให้เรือจมได้ แต่ถ้าใครชมภาพยนตร์แล้วก็จะเห็นว่าเหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีสภาพอากาศแปรปรวนเลย ลมสงบ ทะเลเรียบเป็นกระจก ไม่มีคลื่นเลย ทั้งที่ดูเหมือนเป็นสภาพอากาศที่น่าจะเหมาะแก่การเดินเรือ แต่จริงๆ ความเงียบสงบนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งก็เป็นได้
นักอุตุนิยมวิทยา Edward Lawrence ตีพิมพ์ผลงานวิจัยไว้ว่า ถ้าในคืนนั้นมีคลื่นลมซักนิด ก็จะพัดแพลงตอนชนิดหนึ่งไปชนภูเขาน้ำแข็งได้ ซึ่งแพลงตอนนี้จะเรืองแสงหากไปชนกับอะไรเข้า และคงจะทำให้มองเห็นภูเขาน้ำแข็งได้ล่วงหน้านานกว่านี้ ไม่ใช่เห็นทันเพียงแค่ 1 นาทีก่อนจะชน
2. ภาพลวงตา
ในคืนเกิดเหตุนั้น กัปตันเรือลำอื่นๆ แจ้งเรื่องการมองเห็นภาพลวงตาเข้ามามากมาย เพราะคืนนั้นมีชั้นอากาศอุณหภูมิต่ำพัดอยู่ใต้ชั้นอากาศอุณหภูมิสูง ทำให้เกิดการหักเหของแสงที่สามารถเล่นตลกกับการมองเห็นของคน จนทำให้เห็นภาพลวงตาบิดเบือนไปจากความจริง ซึ่งอาจทำให้มองไม่เห็นภูเขาน้ำแข็งจนสายเกินไป นอกจากนี้อาจส่งผลให้กัปตันเรือ Californian เข้าใจผิดว่าสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ไททานิกจุดนั้น เป็นพลุไฟเฉลิมฉลองทั่วไป จึงไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือไททานิกตั้งแต่แรก
นักประวัติศาสตร์ Tim Maltin เป็นผู้ค้นพบเรื่องภาพลวงตาในคืนนั้นโดยสืบค้นจากข้อมูลการแจ้งเรื่องภาพลวงตาของเรือหลายลำในคืนเดียวกันนั้นเอง การค้นพบของเขาเกิดขึ้นในปี 2012
3. เกิดไฟไหม้ภายในเรือตั้งแต่ออกเดินทาง
การสืบสวนของอังกฤษรายงานว่าเกิดเพลิงไหม้ในห้องเก็บถ่านหินตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง และไฟยังคงไหม้อยู่ตลอดจนกระทั่งเกิดโศกนาฏกรรม จากคำให้การของ J. Dilley หนึ่งในคนคุมเตาที่รอดชีวิตมา เขาบอกว่าพวกคนคุมเตาตกลงกันว่ารอให้ผู้โดยสารลงที่นิวยอร์คให้หมดก่อน แล้วค่อยเรียกเรือดับเพลิงให้มาดับไฟในห้องเก็บถ่านหินนี้ แต่เมื่อเรือชนภูเขาน้ำแข็งและน้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาและดับไฟนี้
แม้ไฟจะไหม้อยู่ในขณะเดินทาง และห้องเก็บถ่านหินก็ออกแบบมาให้กันไฟไม่ให้ลุกลามได้ แต่ผู้จัดการของ White Star Line บอกว่ามันทำให้เกิดความเสี่ยงได้เช่นกัน เพราะ J.P.Morgan เจ้าของเรือไททานิกสั่งให้เดินเรือเต็มกำลังเพื่อให้ถึงนิวยอร์คเร็วๆ และจะได้ดับไฟเร็วขึ้น และการแล่นเรือด้วยความเร็วเต็มที่นี้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้หลบภูเขาน้ำแข็งไม่ทัน และเกิดความเสียหายรุนแรงขึ้นหลังพุ่งชน
4. นิยายพยากรณ์ของ William Thomas Stead
William T. Stead เป็นนักข่าวและนักเขียนชื่อดังคนหนึ่งในยุคนั้น ในปี 1886 เขาตีพิมพ์บทความเรื่องหนึ่ง เล่าถึงเรือไปรษณีย์ที่ชนกับเรืออีกลำจนล่ม แต่เรือช่วยชีวิตกลับไม่เพียงพอกับจำนวนผู้โดยสาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพราะระเบียบการเดินเรือในยุคนั้นยังไม่มีข้อกำหนดให้ต้องมีเรือช่วยชีวิตเพียงพอกับจำนวนผู้โดยสาร และเขาคิดว่าควรต้องชี้เรื่องนี้ให้ทางการเห็น
ต่อมาในปี 1892 เขาก็เขียนนิยายอีกเรื่องในธีมเรื่องเดิม โดยเปลี่ยนเป็นเรือชื่อ Majestic ของบริษัท White Star Line ที่กำลังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกพร้อมนักท่องเที่ยวเต็มลำจากนั้นก็ช่วยชีวิตผู้โดยสารจากเรืออีกลำที่ชนภูเขาน้ำแข็ง
20 ปีหลังจากตีพิมพ์เรื่องนั้น วิลเลี่ยมก็โดยสารเรือไททานิก และเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ทั้งนี้วิลเลี่ยมเชื่อมาโดยตลอดว่าตัวเองต้องเสียชีวิตจากการจมน้ำหรือถูกแขวนคอ
5. กัปตันเคยสอบตกวิชาการเดินเรือ
หลายคนคงคุ้นกับภาพของกัปตัน Edward John Smith ภาพนี้ เขาดูเป็นกัปตันที่กล้าหาญ ไม่หนีเอาตัวรอดแต่จมไปพร้อมกับเรือ แถมก่อนจมหายไปหลายคนยังบอกว่าเห็นเขาช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ด้วย แต่จริงๆ แล้วกัปตันก็เป็นหนึ่งในความประมาทที่ทำให้เรือเจอกับหายนะ กัปตันไม่สนใจคำเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งที่ได้รับมามากมาย แถมยังไม่ขับเรือด้วยความเร็วที่เหมาะสม (แม้อาจจะเพราะคำสั่งของเจ้าของเรือที่ให้ขับเร็วเกิน) แถมกัปตันยังปล่อยเรือช่วยชีวิตออกไปทั้งที่ยังให้คนนั่งได้อีกตั้งครึ่งนึง BBC ตีพิมพ์ว่าเรือช่วยชีวิตลำแรกที่ถูกปล่อยออกไปมีคนนั่งเพียง 27 คน ทั้งที่สามารถนั่งได้ถึง 65 คน นอกจากนี้กัปตันยังออกคำสั่ง "สละเรือ" ได้ช้าเกินไป จนผู้โดยสารหลายคนไม่มีแม้แต่โอกาสจะเตรียมตัวหนี
ในปี 2012 Telegraph รายงานว่ากัปตันเอ็ดเวิร์ดสอบตกวิชาการเดินเรือในครั้งแรก แต่ก็สอบซ่อมจนผ่านในที่สุด แม้จะผ่านจนได้ แต่หลายคนก็มองว่านี่อาจเป็นลางไม่ดี
6. มีผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นเพียงคนเดียวบนเรือ
Masabumi Hosono คือคนญี่ปุ่นเพียงคนเดียวบนเรือไททานิก มาซาบุมิมาศึกษาเรื่องระบบขนส่งทางรางในยุโรปก่อนที่จะโดยสารเรือไททานิกเพื่อเริ่มต้นการเดินทางกลับบ้าน เมื่อเรือเริ่มจมเขาก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือสำเร็จ และพร้อมรับการตายเพราะต้องให้เด็กและผู้หญิงขึ้นเรือช่วยชีวิตก่อน แต่จู่ๆ ลูกเรือก็บอกว่ามีที่ว่าง 2 ที่บนเรือ มาซาบุมิเห็นผู้ชายคนหนึ่งกระโดดลงไปก่อน เขาจึงตามลงไป
แต่เมื่อกลับไปถึงญี่ปุ่น ทุกคนตราหน้าเขาว่าเป็นคนขี้ขลาดที่แย่งที่จากเด็กและผู้หญิงจนรอดชีวิต แทนที่จะยอมตายแบบแมนๆ เขาถูกขับไล่ออกจากชุมชน และถูกไล่ออกจากงานราชการ แถมตอนนั้นยังมีข่าวเกี่ยวกับชายเอเชียคนหนึ่งในเรือช่วยชีวิตหมายเลข 13 ที่เห็นแก่ตัวมากๆ เมื่อทุกคนเห็นข่าวนี้ก็สรุปทันทีว่าเป็นมาซาบุมิแหงๆ
จนกระทั่งในปี 1997 จดหมายที่มาซาบุมิเขียนถึงภรรยาถูกค้นพบพร้อมข้ามของส่วนตัวอื่นๆ ของเขา ในนั้นระบุว่าเขาได้ขึ้นเรือช่วยชีวิตหมายเลข 10 นั่นแปลว่ามาซาบุมิไม่ใช่คนในข่าว
7. สร้อยคอในตำนานไททานิก
ใครที่ได้ชมภาพยนตร์คงจำเรื่องสร้อยคอ "หัวใจแห่งมหาสมุทร" หรือ "Heart of the Ocean" กันได้ที่เป็นสร้อยคอเลอค่าของโรส แม้แจ๊คกับโรสจะเป็นตัวละครสมมติที่ทำให้เรื่องมีสีสันมากขึ้น แต่ในเหตุการณ์จริงก็มีเรื่องคล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นค่ะ โดยเป็นเรื่องราวความรักระหว่าง Henry Morley เจ้าของร้านขนมวัย 40 ปีกับ Kate Florence Philips ผู้ช่วยสาววัย 19 ปี เฮนรี่ได้ให้สร้อยคอแซฟไฟร์แสนสวยเส้นหนึ่งแก่เคท
การเดินทางครั้งนี้เป็นการวางแผนของทั้งคู่ที่จะหนีไปเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกันในแคลิฟอร์เนีย หลังเรือชนภูเขาน้ำแข็ง เคทได้ขึ้นเรือช่วยชีวิตลำสุดท้าย แต่เฮนรี่จมไปกับเรือ หลังจากนั้น 9 เดือน เคทก็ให้กำเนิดลูกสาวชื่อเอลเลน เรื่องราวของเธอเป็นที่รู้จักเมื่อเธอไปติดต่อสำนักข่าวที่รวมรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้นไว้เพื่อขอดูภาพพ่อของเธอ เอลเลนวัย 76 ปีในตอนนั้นจึงเล่าเรื่องพ่อกับแม่ของเธอให้สำนักข่าวฟัง พร้อมทั้งบอกด้วยว่าเธอยังเก็บสร้อยคอของแม่ และกุญแจห้องพักของพ่อแม่บนเรือไว้อยู่ด้วย
แต่ละเรื่องน่าทึ่งมากๆ เลย ส่วนตอนนี้พี่พิซซ่าขอตัวไปชมภาพยนตร์อีกซักรอบดีกว่า
34 ความคิดเห็น
กัปตันสมิธ
กัปตันสมิธ
คงไม่กล้าขึ้นเรือไปอีกนาน...
เคทได้ขึ้นเรือลำสุดท้ายแต่เฮนรี่จมไปกับเรือ เศร้าอ่ะคือทั้งคู่วางแผนจะใช้ชีวิตด้วยกันแต่อีกคนจากไปซะก่อนคงเศร้าน่าดู แต่เคทก็เลี้ยงดูเอลเลนลูกสาวของเธอกับเฮนรี่ เคทเข้มแข็งจริงๆที่เลี้ยงลูกมาคนเดียว
เศร้าอะ อ่านแล้วยังจำภาพในหนังได้อยู่ ร้องไห้จะเป็นจะตาย
งง ภาพลวงตาา เฮ้ออออออออออออ TT ขอโทษนะค่ะที่ งง
ขนาดดูหนังแล้วยังเศร้าไม่หาย น่ากลัวจิงๆ
วันนี้เป็นวันครบรอบ 103 ปีไททานิค
หนังเรื่องอะไรเหรอครับ
ผมอยากไปหาดู
เคยอ่านเจอเเวบๆในหนังสือว่ามีคนเอาซากมัมมี่ที่ต้องคำสาป ขึ้นไปบนเรือไททานิคด้วยรึเปล่า -w- ;;
น่าเศร้าจัง TT'
ในวันนั้นอากาศดี แต่อุณหภูมิตำ่ นำ้เย็นมาก จนถึงจุดเยือกแข็ง