สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่พิซซ่า มีบทความดีๆ จาก BBC มาฝากค่ะ เป็นงานวิจัยทางจิตวิทยาที่สนับสนุนให้คนเราพัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้น มาลองดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างและน่าลองทำมั้ย
โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) บอกว่า ระบบการศึกษาทุกวันนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสอนให้เราคิดในทางที่จะเกิดประโยชน์กับเราไปทั้งชีวิต "ข้อสอบส่วนมากวัดได้แค่เกรดในโรงเรียนเท่านั้น" เขากล่าว "มีหลายคนที่เกรดสวยมากๆ แต่ขาดทักษะความเป็นผู้นำ บางคนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเฉพาะทางแต่กลับไม่มีสามัญสำนึกและจริยธรรม หลายคนที่เป็นประธานหรือรองประธานบริษัทใหญ่ๆ ก็ขาดความสามารถที่ควรมี" สเติร์นเบิร์กและคนอื่นๆ จึงรณรงค์ให้มีการศึกษาแบบใหม่ ที่จะสอนให้คนได้คิดอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปพร้อมๆ กับได้ความรู้ตามปกติ ซึ่งแนวคิดนี้สามารถช่วยพวกเราทุกคนให้เขลาน้อยลงได้
1. ต้องรู้จุดบอดของตัวเอง
แม้จะมีเกรดสูงๆ หรือชนะการแข่งขันบ่อยๆ ก็อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนทั่วไป เพราะเราย่อมมองแต่สิ่งที่เราคิดว่าช่วยสนับสนุนประโยชน์ให้กับเราเท่านั้น (คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าโดยมองแค่เกรด ทั้งที่จริงๆ มีตัวชี้วัดอีกมากมายนอกจากเกรด) แต่เราจะไม่เห็นจุดบอดหรือข้อเสียของเราเลย ซึ่งทำให้เรากลายเป็นคนที่อาจตัดสินอะไรได้ไม่เที่ยงตรงพอเพราะมีอคติ ซึ่งเรามักไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเรากำลังมีอคติอยู่ แต่โชคดีที่นักจิตวิทยาบอกว่าเราสามารถฝึกฝนให้มองเห็นจุดบอดของตัวเองได้ เพื่อที่จะทำให้เราเป็นคนรอบคอบและมีเหตุมีผลมากขึ้น โดยไม่ยึดแค่ความคิดของตนฝ่ายเดียว หรือมองแค่สิ่งที่เห็นด้วยกับเรา
2. ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง
อเล็กซานเดอร์ โป๊ป กวีชื่อดังสมัยศตวรรษที่ 18 กล่าวว่า "มนุษย์ไม่ควรอายที่จะยอมรับว่าตัวเองทำผิดไป เพราะนั่นหมายความว่าวันนี้เราฉลาดกว่าเมื่อวานแล้ว" ซึ่งนักจิตวิทยาปัจจุบันยอมรับแนวคิดนี้ด้วยเพราะนั่นคือการเปิดใจ คนบางคนไม่สามารถเปิดใจยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ แต่คนที่ยอมรับได้เร็วและเต็มใจยอมรับ ยิ่งแสดงว่าเป็นคนรู้จักคิด และนั่นคือสิ่งที่จะทำให้คนๆ นั้นพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้เรื่อยๆ
3. เถียงกับตัวเอง
ถ้าไม่รู้ว่าจะเถียงกับตัวเองยังไง ให้เริ่มที่การเลือกหัวข้อมาหัวข้อหนึ่ง จากนั้นคิดในทางตรงข้ามกับความคิดปกติ แล้วเริ่มให้เหตุผลเถียงไปมากับตัวเอง การทำแบบนี้ช่วยให้เราคิดแบบมีอคติน้อยลง และช่วยทำลายอีโก้ที่เยอะเกินไปได้ด้วย นอกจากนี้ก็ลองเอาตัวเองไปอยู่ในมุมมองคนอื่น แล้วคิดผ่านมุมมองนั้นเพื่อให้เห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้นมากกว่าการมองจากมุมของเรามุมเดียวมาโดยตลอด
4. ลองคิดว่า "ถ้าเกิด..."
แม้ปัจจุบันนี้การเรียนแบบท่องจำจะน้อยลงกว่าแต่ก่อน แต่ระบบการศึกษาก็ยังไม่สนับสนุนให้เรามีความคิดสร้างสรรค์และมีทักษะสำหรับชีวิตจริงมากเท่าใดนัก ดังนั้นอีกวิธีที่จะช่วยให้เรามีความคิดมากขึ้นคือการลองตั้งคำถาม "ถ้าเกิด" เช่นวิชาประวัติศาสตร์แทนที่จะสอนเนื้อหาอย่างเดียว ก็น่าจะให้นักเรียนเขียนเรียงความว่า "ถ้าเกิดเยอรมนีชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนี้โลกจะเป็นยังไง" หรือจะเริ่มที่ตัวเองก็ได้ โดยตั้งคำถามเลยว่า "ถ้าเกิดวันนี้แฟนเราหายไปจะเป็นยังไง" หรือ "ถ้าเราตื่นมาอยู่ในร่างคนอื่นที่ไม่ใช่เพศเดียวกันจะเป็นอย่างไร" มันอาจดูมโนไร้สาระแต่มันก็ช่วยให้เรารู้จักสร้างสมมติฐานและรู้จักประเมินผล แถมยังช่วยเปิดมุมมองให้คิดนอกกรอบด้วย
5. อย่าลืมเรื่องเช็คลิสต์
หลายคนคิดว่าการทำอะไรเป็นประจำทุกวันไม่ต้องจดขั้นตอนไว้ก็ได้ เพราะยังไงก็เคยชินแล้ว แต่เคยมีผลสำรวจว่า ป้ายเตือน 5 ข้อสั้นๆ ให้หมอไม่ลืมล้างมือให้สะอาดที่ติดอยู่ตามเสาในโรงพยาบาล Johns Hopkins ช่วยให้อัตราการติดเชื้อลดจาก 11% เหลือ 0% ใน 10 วัน นอกจากนี้ กระดาษจดขั้นตอนการนำเครื่องบินขึ้นหรือลงของนักบิน ก็เป็นตัวช่วยที่ดีที่ช่วยชีวิตมาแล้วหลายต่อหลายคน ดังนั้นอย่าดูถูกพลังของเช็คลิสต์ แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญในงานนั้นและทำงานนั้นทุกวัน แต่กระดาษเช็คลิสต์ใบน้อยๆ ก็ช่วยให้ไม่พลาดได้เป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ควรทำเช็คลิสต์ไว้เสมอ
ถ้าเราฝึกฝนตามขั้นตอนเหล่านี้เรื่อยๆ เราก็อาจค้นพบพรสวรรค์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ได้ "ความฉลาดไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลข IQ สูงๆ แต่มันคือความสามารถในการหาคำตอบได้ว่าคุณต้องการอะไรในชีวิตและพบวิธีที่จะทำให้มันสำเร็จ" สเติร์นเบิร์กกล่าวไว้ ฉะนั้นน้องๆ ทดลองตามนี้ดูนะคะ แล้วบอกด้วยล่ะว่าดีขึ้นจริงๆ มั้ย
ข้อมูลจาก
www.bbc.com/future/story/20150422-how-not-to-be-stupid
ภาพจาก
io9.com, voidofbreath.tumblr.com
bluegape.com, www.wilderness-voice.com
www.uxbooth.com
14 ความคิดเห็น
ขอบคุณค่า
ไม่คอยเข้าใจแต่คิดว่าถ้าทำตามคาดว่าชีวิตพลิกได้เลย
เคล็ดลับดี ๆ ขอบคุณครับ
ง่ายๆคือเลิกขี้เกียจให้ได้แล้วทุกอย่างจะดี เชื่อข้าสิข้ารู้ข้าเรียนมา
ถ้าเกิดเยอรมันนีชนะสงครามโลกครั้งที่สอง
ประเทศไทยก็จะเจริญก้าวหน้า
เหมือนพวกญี่ปุ่น เกาหลีในตอนนี้
เพราะตอนนั้นไทยเป็นของญี่ปุ่นอยู่
ถ้าพวกอักษะ(เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น)ชนะ
ไทยก็จะชนะไปด้วย
เด็กไทยก็จะได้เรียนภาษาอื่นๆ
ที่อาจจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
อย่างทุกวันนี้...
หรือวัยรุ่นไทยอาจจะเกลียดพวกจีนเกาหลีด้วย
(เพราะเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น)
เถียงกับตัวเองนี่ประจำ ถ้าเกิด...? ด้วย บางทีคิดเยอะไปก็ล่มจมได้น่อ =W=
เราจะฝึกยังไงให้รู้จุดบอดของตัวเองหรอคะ 0.0 อยากรู้มากๆเลยค่ะพวกอคติที่เราเป็นโดยไม่รู้ตัว หรือข้อเสียของเราที่เราไม่สังเกตุเห็นด้วยตัวของเราเองอ่าค่ะ?
ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยค่ะ
มีประโยชน์มากมายยยย
เถียงกับตัวเองบ่อยมาก555
ข้อที่ง่ายที่สุดสำหรับเราคือข้อที่ 3. เถียงกับตัวเอง
1.ต้องรู้จุดบอดของตัวเอง : ข้อนี้ขอบอกเลยว่า รู้มากแต่ไม่หมดสักเท่าไหร่ ถ้าจะถามว่าจุดบอดคืออะไร ความขี้เกียจของเรานี่แหละจุดบอดสำคัญ 555+
2.ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง : อันนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่มันยากสำหรับเรา 555+ เรายอมรับนะว่าเราเรียนไม่ค่อยจะเก่งเท่าไหร่ แต่ความฝันของเราสูงจึงต้องพยายาม
3.เถียงกับตัวเอง : อันนี้ใครๆเขาก็ทำกัน (มั้ง) แต่มันมีค่ามาก โดยเฉพาะเวลาเถียงกับตัวเองในเวลาซื้อของและเงินไม่พอ 555+ และตอนเถียงกับตัวเองในเวลาเรียนหรือสอบ -w- (ข้อนี้เราทำบ่อย)
4.ลองคิดว่า "ถ้าเกิด..." : อันนี้เป็นข้อที่เราคิดเกือบทุกๆวัน โดยเฉพาะตอนสอบ
"ถ้าเกิดเราสามารถมีพลังสิงร่างคนอื่นได้จะเป็นยังไงนะ"
นี่แหละสิ่งที่เราคิด 555+
5.อย่าลืมเรื่องเช็ดลิสต์ : อันนี้ไม่เคยคิดแฮะ อืม... ถ้าจะถามว่าตอนนี้เราชอบลืมไม!?
ขอตอบว่าชอบลืมมาก โดยเฉพาะเวลาสอบ ตอนนี้เราลืมเนื้อหาเกือบหมด พอสอบเสร็จเราคืนอาจารย์หมด 555+ (เกี่ยว)