สวัสดีน้องๆ Dek-D ครับ ไหนขอเสียงคนที่กำลังจะไปสัมภาษณ์วีซ่าโครงการ Work and Travel กันหน่อย~ ช่วงนี้ก็เริ่มเห็นหลายคนทยอยสัมภาษณ์วีซ่ากันเรื่อยๆ ส่วนใครที่ยังไม่ถึงคิว พี่เชื่อว่าน้องๆ อาจมีความกังวลใจในเรื่องของคำถามและการเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์กันอยู่ใช่มั้ยครับ?
วันนี้ พี่อั้ม ในฐานะที่เพิ่งผ่านการสัมภาษณ์มาแบบสดๆ ร้อนๆ เลยขออาสามาแบ่งปันประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่า J-1 ฉบับปี 2024 ให้ผ่านฉลุยพร้อมบินไปเป็น #ทีมอเมริกา ในปีนี้กัน!
ว่าแต่จะเจอคำถามแนวไหน และมีเรื่องอะไรที่ควรรู้ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์บ้าง รีบตามพี่มาเลยครับบบ~
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นความรู้และแนวทางให้กับผู้ที่กำลังจะไปสัมภาษณ์วีซ่า J-1 ได้รู้ถึงขั้นตอนการเข้าสัมภาษณ์ การเตรียมความพร้อมของตัวเอง และวัตถุประสงค์ของการสัมภาษณ์วีซ่า (ไม่มีจุดประสงค์เพื่อชี้นำหรือบอกใบ้คำตอบในการสัมภาษณ์วีซ่าแต่อย่างใด)
เช็กความเข้าใจ Work and Travel คือโครงการอะไร?
ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจจุดประสงค์ของโครงการ ‘Work and Travel Program’ หรือที่เราเรียกแบบย่อกันว่า WAT ซึ่งเป็นโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศระยะสั้นจากทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกา มอบให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรี-โท อายุ 18–28 ปี (ในช่วงปิดภาคเรียน) ได้มีโอกาสเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมและการใช้ชีวิตแบบชาวอเมริกัน พร้อมฝึกฝนภาษาอังกฤษ สร้างมิตรภาพกับเพื่อนชาวต่างชาติจากทั่วโลก ผ่านการท่องเที่ยวและทำงานอยู่ภายในประเทศสหรัฐฯ ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
โดยระยะเวลาเข้าร่วมโครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่
- ช่วงฤดูใบไม้ผลิ (Spring) มีระยะเวลาตั้งแต่ 7 มีนาคม - 7 กรกฏาคม
- ช่วงฤดูร้อน (Summer) มีระยะเวลาตั้งแต่ 7 พฤษภาคม - 7 กันยายน
** หลังจบโครงการจะมีเวลาอีก 30 วัน สำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย (แต่ไม่สามารถทำงานได้)
คำแนะนำ: นักศึกษาปริญญาตรีหลักสูตร 3 ปี หรือ 3 ปีครึ่ง รวมทั้งนักศึกษาปริญญาโท สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ ตราบใดที่ ‘ยังคงสถานะการเป็นนักศึกษา’ // สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่มได้จากทางเอเจนซีที่เราเลือกสมัคร
J-1 VISA คืออะไร? เหมาะกับใคร?
แน่นอนว่าก่อนจะออกบิน เราจำเป็นจะต้องได้รับการอนุมัติวีซ่ากันก่อน! สำหรับน้องๆ นักศึกษาที่จะเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ทางรัฐบาลก็ได้มีกำหนด US Visa Student ออกมา 3 หมวด ประกอบด้วย
- F Visa เป็นวีซ่าสำหรับผู้ที่ยื่นศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศสหรัฐฯ
- M Visa เป็นวีซ่าที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ออกให้กับนักเรียนสายวิชาชีพ
- J Visa เป็นวีซ่าสำหรับผู้ที่เข้าร่วม Exchange Program ต่างๆ ทั้งในระดับมัธยมและอุดมศึกษา
ซึ่งน้องๆ ที่เข้าร่วมโครงการ Work and Travel จะต้องเข้าสัมภาษณ์กับทางสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อขอการอนุมัติวีซ่าหมวด J Visa ในประเภท ‘J-1 (Summer Work and Travel)’ หรือวีซ่าที่อนุญาติให้สามารถอยู่อาศัยและทำงานในประเทศสหรัฐฯ ได้เป็นการชั่วคราว (Temporary Stay) ในขอบเขตระยะเวลาสูงสุด 4 เดือน
ซึ่งวีซ่านี้จะใช้ประกอบกับหนังสือ ‘DS-2019’ ที่ออกให้จากทางสปอนเซอร์ฝั่งอเมริกา โดยภายในหนังสือจะมีระบุเลข SEVIS ID หรือรหัสประจำตัวนักเรียนแลกเปลี่ยนในฐานระบบของรัฐบาล รวมถึงข้อมูลสถานที่ทำงานและกำหนดการที่ระบุวันเริ่มและวันสิ้นสุดของโครงการ เพื่อใช้แสดงกับสถานทูตและยืนยันสำหรับอนุมัติการเข้าประเทศกับทาง ตม. ในวันที่เราเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ
รีวิวประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่า J-1
ก่อนจะเริ่มขอเกริ่นก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมโครงการ Work and Travel และก็เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์วีซ่ากับทางสถานทูตของสหรัฐฯ เช่นกัน (อัปเดต ม.ค. 2024) หากข้อมูลในบทความมีการเปลี่ยนแปลงหรือผิดพลาดประการใด สามารถบอกกล่าวแนะนำกันได้นะครับ ถ้ายังไงพร้อมแล้ว ก็มาเริ่มลุยด้วยกันเลย ~
ฝ่าฟันกันมามากมาย สุดท้ายก็มาถึง ‘การสัมภาษณ์ Visa’
บอกเลยว่าเด็กเวิร์กรู้กันดี! เพราะกว่าจะมาถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์วีซ่าได้ เราต้องผ่านทั้งการวัดระดับภาษา การจองงาน การสัมภาษณ์นายจ้าง จ่ายค่าโครงการและขั้นตอนเอกสารอีกมากมายก่ายเพดาน (เรียกว่าคนไหนที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้ ขอตบมือสองทีให้ตัวเองด้วยฮะ)
โดยมาในส่วนของพาร์ตของการสัมภาษณ์วีซ่า เริ่มแรกเลยคือทางเอเจนซีจะเป็นคนที่ดูแลในเรื่องของการจองวันสัมภาษณ์ และวางโปรแกรมการกรอกเอกสารวีซ่า อย่าง ‘DS 160 Visa Application’ ที่เป็นฟอร์มเอกสารกรอกทางออนไลน์ผ่านระบบของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เรา ซึ่งเทคนิกการกรอก DS-160 (โดยส่วนตัว) กรอกไป 3 พารากราฟ ประกอบไปด้วย ชั้นปี คณะที่เรียน มหาวิทยาลัย (หากมีฝึกงานก็บอกตำแหน่งหน้าที่และบริษัท) / เหตุผลของการเข้าร่วมโครงการ / แพลนการทำงานหลังจากกลับมาประเทศไทย
‘การกรอก DS-160’ เป็นขั้นตอนที่สำคัญและมีผลมากต่อการสัมภาษณ์ แนะนำให้ติดตามคำแนะนำของทางเอเจนซีเพื่อความชัวร์ที่สุด
หลังจากกรอกข้อมูลตามแพลนที่ทางเอเจนซีเตรียมไว้ให้เสร็จ และได้รับประกาศวันสัมภาษณ์วีซ่าแล้ว ต่อมาก็เข้าสู่ช่วงการเตรียมตัวเก็บข้อมูล เตรียมคำถามและคำตอบสำหรับการสัมภาษณ์ ซึ่งบทความนี้เราได้รวบรวมคำถามที่พบเจอได้บ่อยในการสัมภาษณ์มาให้แล้ว ทุกคนสามารถดูตามที่ลิสต์ไว้ข้างล่างได้เลย
Mostly Asked Questions!
รวมคำถามยอดฮิต ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์
ทำไมถึงอยากเข้าร่วมโครงการ Work and Travel | (Why do you want to join this program?) |
คุณกำลังเรียนคณะ/สาขาอะไร (เรียนอยู่ชั้นปีไหน เรียนอยู่ที่ไหน) | (What are you studying / What year are you in / Where are you studying?) |
เราไปทำงานที่ไหน / ทำงานตำแหน่งอะไร (มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง) | (Where are you going to work / What is your position?) |
ทำไมอยากไปทำงานที่นั่น (ทำไมถึงต้องเป็นเมืองนี้) | (Why do you want to work there?) |
ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในโครงการ (อาชีพผู้ปกครอง) | (Who is your sponsor for this program? / What is the occupation of your parent?) |
มีแผนไปท่องเที่ยวหลังจบงานมั้ย | (Do you have a travel plan after finishing the program?) |
หลังจากกลับมาประเทศไทย จะทำอะไรต่อ | (What is your plan after coming back to Thailand?) |
หากคุณเผชิญกับเหตุการณ์อันตราย คุณจะมีวิธีการจัดการอย่างไร | (What is your procedure when encountering an accident in the U.S.?) |
แน่นอนว่าต่างคนก็ต่างมีคำตอบในสไตล์ของตัวเอง แต่ลองแอบมาดูคำแนะนำจากทาง U.S. Embassy ที่ได้แชร์ทริกให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมก่อนลงสนาม บอกเลยว่ามีประโยชน์มากๆ เพราะนอกจากเรื่องผลการเรียนและสกิลการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีแล้ว น้องๆ ที่เข้าร่วมโครงการควรแสดงความเชื่อมั่นให้กับทางสถานทูตได้เห็นว่า พวกเราจะเดินทางกลับมาประเทศไทย ไม่อาศัยอยู่ต่อในประเทศสหรัฐฯ เกินกว่าวันเวลาที่โครงการกำหนด
โดยทางเจ้าหน้าที่กงสุล (Consular Officers) มีหน้าที่ต้องสอบถามข้อมูลน้องๆ ในเรื่องของการศึกษา สถานภาพครอบครัว การเงินและการทำงาน รวมถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมโครงการเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเราเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงและสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างถูกต้อง
คำแนะนำ: น้องๆ อย่าลืมอ่าน ‘Wilberforce Pamphlet’ มาก่อนด้วยนะ เพราะเป็นสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ ‘สิทธิของผู้ใช้แรงงานที่พำนักอยู่อาศัยชั่วคราว’ ในอเมริกา
1 Week Before an Interview
พอจับหลักได้และเตรียมฝึกซ้อมกันมาต่อเนื่อง ในช่วงหนึ่งอาทิตย์สุดท้ายก่อนวันสัมภาษณ์ (ได้วันนัดสัมภาษณ์วันที่ 23 มกราคม 2567 เวลา 10:00 น.) เราก็พยายามจัดการเคลียร์ตัวเองให้พร้อมที่สุด เพื่อวันจริงจะได้โฟกัสอย่างเต็มที่กับการสัมภาษณ์ โดยเราจะเน้นเรื่องของการเตรียมตัว ดังนี้
- จัดเวลาการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ (สำคัญมาก!)
- รวบรวมเอกสารที่ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์ไว้ให้พร้อม
- จำลองการซ้อมสัมภาษณ์ตามเวลาจริง
- เตรียมเครื่องแบบการแต่งการให้ดูเป็นทางการมากที่สุด (ชุดนักศึกษา)
- เช็กสถานที่และวันเวลานัดหมาย พร้อมวางแผนการเดินทาง
D-DAY: What happened?
และแล้วก็ถึงวันสัมภาษณ์จริง เราเดินทางมาที่ออฟฟิศของเอเจนซีก่อนเวลาสัมภาษณ์ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อมาเช็กเอกสารที่ทางเอเจนต์เตรียมไว้ให้ ประกอบไปด้วย Visa Appointment Confirmation, DS-2019, Sevis, Passport และเอกสารยืนยันข้อมูลอื่นๆ ซึ่งในช่วงระหว่างรอไปสถานทูตก็มีการซ้อมสัมภาษณ์และเช็กคำตอบกับพี่ๆ อีกที
หลังจากตรวจเช็กเอกสารและติวสัมภาษณ์เสร็จ พอได้เวลาการนัดสัมภาษณ์ เราก็เดินตรงออกมาจากออฟฟิศและข้ามสะพานลอยมายังหน้าสถานทูตอเมริกา บอกเลยว่าจังหวะกำลังเดินข้ามสะพานคือใจเต้นแรงมากกก ในหัวเริ่มจะคิดคำตอบที่เตรียมมาไม่ออก ตอนนั้นพยายามดึงสติและผ่อนคลายตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ‘นึกอยู่ตลอดว่า วันนี้เรามาเพื่อมาแจ้งท่านกงสุลเฉยๆ ว่าเราจะไปอเมริกาแล้วนะ ไปทำงานนี้ ไปทำที่รัฐนี้ ฟีลเหมือนมาโม้ให้ท่านฟัง’ มันจะได้แบบมีเป้าหมายในการพูด และไม่ตึงเครียดเกินไปขนาดนั้น 555
จากนั้นก็มาต่อคิวยื่นเอกสารนัดสัมภาษณ์ตรงเต็นท์สีเขียวหน้าสถานทูต ซึ่งพี่พนักงานที่อยู่ตรงด่านทางเข้าก็จะขอเช็กใบ DS-2019 และเอาพาสปอร์ตมาติด Tracking ที่มีเลข EMS ไว้ด้านหลังพร้อมกับให้เราเดินเข้าด่านตรวจไปได้เลย ในจุดนี้ไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์สื่อสารเข้าไปข้างในนะ ใครที่มีสัมภาระก็ฝากไว้กับทางเจ้าหน้าที่ได้ แต่ส่วนตัวเราเตรียมไปแค่แฟ้มเอกสารสำหรับสัมภาษณ์ ก็เดินชิลตรงผ่านเข้าไปที่เครื่องตรวจโลหะเลย // แนะนำว่าระหว่างเดินไปโซนสัมภาษณ์ก็ให้จดรหัส EMS ไว้ก่อนได้เลย
Are you ready for the interview?
ผ่านจากด่านตรวจเข้ามาในสถานทูต เราก็เดินตามลูกศรบอกทางเข้าไปจนเจอพี่พนักงานตรงเคาน์เตอร์ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ ตรงจุดนี้เราจะต้องยื่นพาสปอร์ตและใบ DS-2019 บวกกับรูปถ่ายวีซ่า 1 ใบ ให้กับพี่พนักงานก่อนจะเดินเข้าไปห้องสัมภาษณ์ต่อได้ ซึ่งบรรยากาศภายในห้องสัมภาษณ์บอกเลยว่าอารมณ์เหมือนเรามาจ่ายเงินรับยาที่โรงพยาบาลเลย ทางพี่พนักงานและท่านกงสุลจะยืนรอเราอยู่ในตู้กระจกใสที่มีไมค์ติดอยู่ให้เราได้สื่อสารกัน โดยในขั้นตอนในการเข้าสัมภาษณ์ เราสรุปแบบคร่าวๆ มาได้ตามนี้เลย
- หลังจากถูกประกาศเรียกคิว เราเดินมาที่ตู้ของพี่พนักงานคนไทยก่อน เพื่อตรวจเช็กเอกสารและสแกนลายนิ้วมือครั้งที่หนึ่ง
- จากนั้นเดินต่อมาที่ตู้ของพนักงานชาวต่างชาติ เพื่อเช็กเอกสารพร้อมสแกนลายนิ้วมือครั้งที่สอง
- พอเสร็จแล้วก็เดินออกมาต่อแถวในไลน์ช่องสัมภาษณ์ พร้อมรอพูดคุยแบบม่วนๆ กับท่านกงสุลได้เลย
รอบของเราได้สัมภาษณ์กับท่านกงสุลผู้ชายผมทอง หน้าตาใจดี ซึ่งคำถามที่โดนสัมภาษณ์ก็เป็นตามที่แนะนำข้างบนเลย อาจมีถามเจาะเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องสถานที่ทำงานและแพลนหลังกลับจากโครงการ ยังไงก็อย่าลืมเตรียมข้อมูลหลายๆ ด้านมาให้พร้อมด้วยนะครับ ห้ามประมาทเด็ดขาด!
โดยหลังจากพูดคุยกันได้สักพักไม่นานมาก ประมาณ 3-4 นาที ทางท่านทูตก็ยื่นสมุดสีขาวที่เป็นเหมือนใบสรุปสิทธิแรงงานฉบับภาษาไทยมาให้ พร้อมเอ่ยวลีสวรรค์ ‘Your visa is approved.’ พร้อมบอกว่าจะส่งพาสปอร์ตและใบ DS-2019 คืนกลับมาให้ภายในหนึ่งสัปดาห์ เป็นอันจบภารกิจสัมภาษณ์วีซ่า ได้จองตั๋วบินกันแล้วครับ ดีใจจจ ~
คำแนะนำ: หลังจากได้รับพาสปอร์ต และเอกสาร DS-2019 คืนจากสถานทูต ‘ต้องเก็บไว้ให้ดี ห้ามหายเด็ดขาด’ เพราะต้องใช้ในการยืนยันกับทางสำนักตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ (Department of Homeland Security) ซึ่งเรามีโอกาสถูกปฏิเสธการเข้าประเทศได้ หากเอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งเปลี่ยนแปลงหรือขาดหายไป
สรุปหลักสำคัญการเตรียมตัว
‘Practice Makes Perfect’ ช่วยเพิ่มโอกาสผ่าน ไม่ต่างกับดูดวง
ดวง ดวง ดวง ก็เข้าใจได้ว่าครั้งนึงชีวิตเราก็ต้องพึ่งลิขิตสวรรค์กันบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าสัมภาษณ์ได้ดีก็คือ ‘การหมั่นฝึกซ้อม’ โดยจากประสบการณ์สัมภาษณ์ แนะนำว่าน้องๆ ไม่จำเป็นต้องจำทุกคำในคำตอบที่เตรียมมา เพราะในสถานการณ์จริงเราอาจพบเจอกับปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก อย่างเช่นเรื่องความกดดันและความคาดหวังที่เกิดขึ้นจนทำให้เกิดอาการแพนิค และเสี่ยงที่จะลืมเนื้อหาหรือบทพูดที่เตรียมมาได้
ดังนั้น การฝึกซ้อมตอบคำถามแบบใช้ ‘Key words’ จะเป็นตัวช่วยให้เราสามารถหยิบไอเดียสั้นๆ มาอธิบายขยายความต่อได้ ทำให้มีเนื้อหาการสื่อสารที่ชัดเจนและตรงประเด็น โดยที่ไม่จำเป็นต้องจำทุกวรรคทุกคำที่เตรียมมา โดยส่วนตัวคิดว่าวิธีนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการลืมบทพูด ทั้งยังเหมือนบังคับให้เราได้ฝึกนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐานง่ายๆ ออกมาใช้แบบไม่ต้องท่องจำ // ได้ฝึกความ flow การพูดภาษาอังกฤษไปในตัวด้วย
เตรียมตัวก็ต้องพร้อม เอกสารก็ต้อง Check!
อีกหนึ่งปัญหาที่สังเกตได้ก็คือ บางคนอาจจะโฟกัสกับการฝึกซ้อมสัมภาษณ์มากเกินไปจนลืมจัดการเรื่องของเอกสาร ซึ่งที่จริงเป็นพาร์ตที่สำคัญมากๆ! เพราะถ้าหากขาดเอกสารใดไปแค่อย่างเดียว ก็ทำให้ตกรอบตั้งแต่ก่อนเข้าสัมภาษณ์ได้เลยนะ ดังนั้นพี่เลยรวบรวมลิสต์เอกสารพื้นฐานที่จำเป็นในสัมภาษณ์ไว้เผื่ิอน้องๆ ได้ลองเตรียมตัวกัน มีอะไรกันบ้างมาดูเลย ~
เอกสารหลัก | เอกสารรอง |
Visa Appointment Confirmation | Proof of Student ** ภาษาอังกฤษ (ฉบับจริง) |
DS-2019 | หลักฐานการเงินของผู้ปกครอง |
SEVIS | หนังสือรับรองสถานะการทำงานของผู้ปกครอง |
Passport เล่มจริง | ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลตัวเรา / ผู้ปกครอง (ถ้ามี) |
Transcript ** ภาษาอังกฤษ (ฉบับจริง) | เอกสารยืนยันต่างๆ เพิ่มเติม |
รูปถ่าย Visa 2x2 ** ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน |
คำแนะนำ: เอกสารหลักควรเป็น ฉบับจริง! // อย่างไรก็ตามเอกสารบางอย่างอาจจะมีการปรับเปลี่ยน แนะนำให้ ‘ติดตามข้อมูลของทางเอเจนซีที่น้องๆ เลือกสมัครเพื่อความชัวร์ที่สุด’
แค่เปลี่ยนมุมมองการสัมภาษณ์ เราก็อาจผ่านโดยไม่รู้ตัว!
ความกดดันและความเครียดจากมุมมองที่ว่า การสัมภาษณ์ = การคัดเลือกคน อาจส่งผลโดยตรงต่อความมั่นใจในการตอบคำถามของเราได้ครับ ดังนั้น สิ่งที่พี่อยากแนะนำก็คือการลองเปลี่ยนมุมมองการสัมภาษณ์เสียใหม่ โดยลองมองว่า ‘การมาสัมภาษณ์วีซ่า = มาเมาท์ให้ท่านกงสุลฟัง’ ว่าเรามีแผนงานอะไร อยากจะไปที่ไหน สถานที่ที่จะไปนั้นดีเลิศยังไง ซึ่งพี่เองก็เชื่อว่าท่านกงสุลก็รอฟังเราโม้ไม่ต่างกัน ฉะนั้นบอกตัวเองไว้อยู่เสมอครับว่า ‘Your thought is the only thing that kills you.’ (ก็มีแค่ความคิดพวกสูนั่นแหละที่ทำตัวเอง จะไปมีใครอีก) // ท่านกงสุลรอเราเมาท์ฉ่ำอยู่ มั่นใจเข้าไว้ครับ!
• • • • • • •
สุดท้ายแม้ไม่มีอะไรที่การันตีได้ว่าเราจะผ่านหรือไม่ผ่าน แต่สิ่งนึงที่อยากบอกน้องๆ เลยก็คือ ‘ โอกาสในการที่จะได้มาพูดคุยกับท่านกงสุลแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อย หากโอกาสนั้นมาถึงแล้ว อยากให้น้องๆ ลงมือทำให้เต็มที่และเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ ’ ในตอนจบแม้ว่ามันจะร้ายหรือดี ก็อยากจะให้ทุกคนได้เดินออกมาแบบไม่รู้สึกเสียใจ หรือเสียดายกันภายหลังนะครับ ทาง พี่อั้ม และพี่ๆ ทีม Study Abroad ขออวยพรให้น้องๆ ทุกคนที่ไปสัมภาษณ์โชคดี Your Visa Approved กันทุกคนครับ :)
ชวนอ่านต่อ : งานหินแค่ไหนก็สู้! เปิดรีวิวเด็ก Work & Travel ในอุทยานหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก @California
sources: https://visaguide.world/us-visa/nonimmigrant/study-exchange-visas/j1/ https://th.usembassy.gov/visas/summer-work-travel-program/swt-instructions/ https://j1visa.state.gov/programs/summer-work-travel/
2 ความคิดเห็น
ถ้ามีญาติที่นามสกุลเดียวกันอยู่ อเมริกา เราควรติ๊กมั้ยคะว่ะมี