คลินิกนักเขียน ตอน กลิ่นเอื้อง กับฉากดราม่าชวนเสียน้ำตา


 

คลินิกนักเขียน

ตอน ลิ่นเอื้อง
กับฉากดราม่าชวนเสียน้ำตา

สวัสดีน้องๆ ที่มาเข้าอ่านบทความคลินิกนักเขียนทุกคน
 ในช่วงหน้าฝน ฤดูที่เหมาะแก่การเวิ่นเว้อ ดราม่าท่ามกลางฝนพรำ 
หัวข้อที่เลือกมาหยิบยกก็คงหนีไม่พ้น นิยายดราม่านั่นเองค่ะ


สำหรับเดือนนี้ มีคนส่งผลงานมามากมายเลยค่ะ
พี่น้ำผึ้งและกลิ่นเอื้องก็เลยต้องตัดใจเลือกมาแค่ 8 ผลงานเท่านั้น
เพื่อมาเป็น Case Study ให้กับน้องๆ ทุกคนค่ะ
 

ไปฟังกันว่า... กลิ่นเอื้องมีเคล็ดลับดีๆ
ในการเขียนฉากดราม่าอย่างไรบ้าง 

 

 

กลิ่นเอื้อง

นักเขียนนิยายแนวโรแมนติกดราม่าที่ได้ทำเป็นละคร เธอบอกว่าฉากดราม่าที่เขียน ไม่จำเป็นต้องมาจากดราม่าในชีวิตจริง

วิิธีสร้างฉากดราม่าชวนเสียน้ำตา
โดย กลิ่นเอื้อง

 

การเขียนฉากดราม่า จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก มันเหมือนกับการนำเอาความขัดแย้งทั้งหลายแหล่ในเรื่องมาตีแผ่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การคลี่คลายปัญหา หรือร้ายกว่านั้น คือปัญหาที่ใหญ่โตยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม ดังนั้น ฉากดราม่าที่ดีควรตั้งอยู่บนโครงเรื่องที่แข็งแรง มีทิศทางและเนื้อหาชัดเจน เพื่อให้บรรลุวัตุประสงค์ของฉากนั้น

แต่ฉากดราม่าที่ดี บางครั้งก็ไม่ใช่ฉากดราม่าที่อ่านแล้วสนุก ตรงนี้ล่ะที่ยาก
 

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในฉากดราม่า

1. ความต้องการ/แรงจูงใจ เมื่อตัวละครมีความต้องการที่สวนทางกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง แสดงว่าความขัดแย้งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาคือความต้องการอันซันซ้อนของตัวละครนั้นๆ มีปัญหาตรงไหน แล้วขยายมันออกมาค่ะ การกระทำและความรู้สึกของตัวละครในฉากดราม่ามักจะซื่อตรงกับความต้องการของตนเองเสมอ ถ้านักเขียนไม่รู้จักตัวละครของตนดีพอ ความต้องการและแรงผลักดันที่ควรมีจะน้อยลง

2. ความตึงเครียด คือส่วนที่เชื่อมอารมณ์ระหว่างผู้อ่านและฉากดราม่าได้ดีที่สุด ความตึงเครียดอาจเกิดจากบรรยากาศหดหู่โดยบทบรรยาย ความตื่นเต้นของสถานกาณ์ ความคอนทราสระหว่างตัวละครกับปัญหา ความเศร้าโศกของเนื้อเรื่อง ยิ่งความตึงเครียดมีมากเท่าไหร่ พอฉากดราม่าดำเนินไปถึงจุดคลี่คลาย ความสุขจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น


3. ไคลแมกซ์ คือส่วนที่เป็นที่สุดของฉากดราม่า อาจเป็นจุดหักเห จุดวิกฤต จุดที่ทำให้ตัวละครเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความสัมพันธ์ การจะดึงฉากดราม่าขึ้นสู่จุดไคลแมกซ์ได้นั้นจำเป็นต้องเข้าใจในเนื้อเรื่องทั้งหมดทั้งก่อนและหลัง เพราะแป๊กนิดเดียวทั้งฉากอาจพังเอาง่ายๆ


4. การบรรยาย เป็นลูกเล่นสำคัญที่จะช่วยให้ฉากดราม่ามีรสชาติเข้มข้นมากขึ้น ละเอียดและใส่ใจกับแอคชั่นของตัวละครสักนิด อย่าปล่อยให้ยืนพูดกันอย่างเดียว เลือกใช้คำให้เหมาะสมกับบริบทของอารมณ์ จังหวะการหายใจ การมอง การพูด การสัมผัส ทุกการกระทำที่มีความนัยแฝงอยู่สามารถเพิ่มความอึดอัดให้ฉากได้ถ้าใช้ถูกเวลา การบรรยายที่ดีจะช่วยเพิ่มเสน่ห์และพลังให้กับฉากได้อย่างมหาศาล

มุมกระซิบส่วนตัว

แพมขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าความคิดเห็นทั้งหมดเป็นแค่เสียงเล็กๆ ของแพมคนเดียวนะคะ อาจมีหลายหมื่นหลายแสนคนที่ได้อ่านแล้วคิดไม่เหมือนกัน นักเขียนทุกคนมีสัญชาตญาณในการเขียนฉากดราม่าอยู่แล้ว ดังนั้นจงเชื่อมั่นในงานของตัวเองค่ะ ส่วนแพมอ่ะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็พอ


 

  

 

1

SmilingD       

Novel : ลลิสา
มายไอดี : 
http://my.dek-d.com/chompyy/ 
Link (สำหรับอ่านผลงาน) :  http://www.dek-d.com/activity/41916/

ตัวอย่างอาการ :

  

เสียงดนตรีบรรเลงดังชัดขึ้นตามการก้าวเดินสู่ห้องโถง ฉันพยายามทรงตัวอยู่บนส้นสูงแล้วเดินให้เรียบร้อยที่สุด

แม่ที่วันนี้อยู่ในชุดเดรสแขนยาวสีครีมพอดีไหล่ ผ้าลูกไม้แนบเนื้อขับเน้นเรือนร่างของหญิงสาวชัดเจน ผมที่ปกติปล่อยสยายถูกรวบเป็นมวยอย่างสวยงาม เผยให้เห็นแผ่นหลังเนียนเปลือยเปล่าถึงบ้นเอว ใบหน้าสวยหวานแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ทำให้เธอกลายเป็นหญิงสาวที่หวานซ่อนเปรี้ยวเลยทีเดียว

ผู้หญิงที่กาลเวลาไม่อาจช่วงชิงความงามไปได้ หนึ่งในนั้นคงเป็นแม่ของเธอเอง

‘สาวิกา ดรุณากุล’ เจ้าของบริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่ทำรายได้ถล่มทลายหลังจากแม่ของฉันเข้าไปบริหารต่อจากพ่อ จากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย แม่ก็สามารถพลิกมันกลับมา และสร้างทุกอย่างขึ้นใหม่ ไม่มีใครเชื่อว่าแม่จะทำได้

แต่สุดท้ายแม่เธอก็ทำได้

“วันนี้เป็นงานสำคัญ อย่าทำเสียเหมือน ‘วันนั้น’ ล่ะ” แม่หันมากำชับเธอพลางเกลี่ยเส้นผมที่บังหน้าฉันออก นัยน์ตาเธอเคลือบไปด้วยความกังวล แต่ก็แปรเปลี่ยนเป็นคาดหวัง และหมายมั่นอย่างคนตัดสินใจมาดีแล้ว

แต่หนูกลัว... หนูไม่อยากเข้าไป เรากลับบ้านกันได้มั้ยคะ?

“ค่ะ”

 สิ่งที่ฉันต้องการกับต้องทำมันช่างสวนทางกันเหลือเกิน

โคมไฟระย้าสีเหลืองนวลขนาดใหญ่ ทิ้งตัวลงมากลางห้องโถงที่บรรจุคนสองร้อยคนได้สบายๆ ผู้คนมากหน้าหลายตาที่ฉันไม่รู้จักแต่งกายสวยงาม แต่เหมือนคนเหล่านั้นรู้จักแม่ฉันเป็นอย่างดี ดูได้จากจุดรวมสายตาทุกคู่ ให้หันเหลียวมองหญิงสาวข้างกายฉัน

แต่ทันใดนั้น มันก็เปลี่ยนจุดสนใจเป็นฉัน ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ สองมือกำแน่นแล้วคลายออกเรียกกำลังใจให้ตนเอง ริมฝีปากเคลือบลิปสีพีชสีเดียวกับชุดค่อยๆยกยิ้มขึ้น

ยิ้มเข้าไว้ลลิสา เธอต้องทำได้ เธอต้องทำได้...

ตึกตัก ตึกตัก

เสียงกระซิบกระซาบรอบข้างดังแข่งกับเสียงหัวใจของฉัน แอร์เย็นฉ่ำในห้องไม่ได้ช่วยคลายความกังวลในใจลงได้เลย มือสองข้างเผลอกำแน่น จิกเข้าเนื้อจนรู้สึกเจ็บ และชาในเวลาเดียวกัน

พรึบ

แสงไฟรอบห้องดับลง รวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่เวทียกระดับขึ้นจากพื้น พิธีกรชายผู้ดำเนินงานวันนี้เริ่มกล่าวเข้าสู่งาน พร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังขึ้นต้อนรับเจ้าของงาน ฉันรู้เพียงแค่ว่า เขาคือคนที่พึ่งเซ็นสัญญาร่วมงานกับแม่แค่นั้นเอง

ฉันไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับแม่เท่าไหร่หรอก ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องอะไร อย่างแม่ชอบกินอะไร ปกติแม่ชอบทำอะไรตอนว่าง

ฉันไม่เคยรู้อะไรเลย

 ฉันมองตามแม่ที่ยกชายกระโปรงขึ้นตรงสู่เวทีที่มีแสงไฟสีนวลตา ทุกย่างก้าวของแม่ที่ห่างออกไปราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันกดมันไว้ กำลังซึมแพร่กระจายพิษร้ายไปทั่วร่าง

สายตาที่เคยชัดเจนเริ่มพร่ามัว เงาบุคคลรอบกายเหมือนปีศาจร้ายในเงามืด ที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาทำร้ายฉันได้ทุกเมื่อ

ฉันเงยหน้ามองไปที่แม่ด้วยใบหน้าซีดไร้สี

ช่วยด้วย...ช่วยหนูที...

สองเท้าของฉันหันหลังกลับ พาตัวเองออกจากห้องโถงนี้ ในใจพร่ำบอกแต่คำขอโทษที่ ‘ล้มเหลว’

ฉันต้องหาที่ซ่อน ซ่อนตัวเองจากปีศาจพวกนั้น

 
(อ่านเนื้อเรื่องต่อได้ที่ลิงก์ด้านบน) 
 

วินัจฉัย :

แก่นเรื่อง ทำได้ดีค่ะ สามารถดึงคนอ่านเข้าไปมีอารมณ์ร่วมได้ตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย ตัวละครมีความต้องการเป็นของตัวเองชัดเจน ที่ต้องแก้อีกนิดคือวิธีการบรรยายที่ทำให้จังวะของเรื่องสะดุด โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์หลังจากออกจากห้องโถงที่ดูห้วนและตัดตอนไวเกินไป ในระหว่างเดินสามารถดึงอารมณ์ให้พะอืดพะอมกว่านี้ได้ ในระหว่างทรุดตัวลงนั่งยังสามารถอึดอัดกว่านี้ได้ พอถึงจุดคลี่คลาย ความคอนทราสจะทำให้ฉากซึ้งหลังจากนั้นยิ่งซึ้งขึ้นไปอีกค่ะ

2

เนตรภัคตรา

Novel : ลมรักหลับ
มายไอดี :
http://my.dek-d.com/chinchang22/

Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://www.dek-d.com/activities/39576/​

ตัวอย่างอาการ :

ผลตรวจออกมาว่าคุณเป็นโรคลมหลับนะครับคุณเจนนิญา

ทันทีที่ได้ยินคำ ๆ นี้จากปากของหมอ มือของร่างบางที่เย็นเจี๊ยบอยู่แล้วก็แทบไร้ความรู้สึกไปในทันที หญิงสาวรู้สึกชาไปหมดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และแม้ว่าจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่ในเวลานี้หญิงสาวก็อดรู้สึกว่าโลกทั้งใบมันถล่มทลายลงมาที่ตรงหน้าไม่ได้เลยจริง ๆ

หมอ หมอแน่ใจหรอคะ ทำไมถึงได้มั่นใจนักล่ะคะ เพราะผลแลปส์ครั้งที่ผ่านมานี่หรอคะ หญิงสาวพยายามถามหาคำตอบอย่างรู้สึกโกรธในโชคชะตาของตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

ใช่ครับ เพราะวงจรการนอนหลับของคุณเข้าสู่ช่วง REM (*rapid eye movement) sleep ได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาทีหลังจากเริ่มหลับ แล้วมันก็อธิบายว่าทำไมคุณถึงมีอาการฝันร้ายแล้วก็รู้สึกเหมือนผีอำและขยับตัวไม่ได้พูดได้เท่านี้ น้ำตาของคนตรงหน้าก็ไหลรินออกมาทันที ทำให้คุณหมอหนุ่มรีบเอ่ยปลอบใจคนไข้ขึ้นด้วยน้ำเสียงและแววตาอันอ่อนโยนทันทีว่า

คนไข้ทำใจดี ๆ ก่อนนะครับ โรคนี้มันไม่ได้อันตรายร้ายแรงนะครับ

แต่มันกำลังจะเปลี่ยนชีวิตของฉันนะคะหมอ ฉันกำลังจะต้องออกจากงานที่ฉันรัก

เนื่องจากงานพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินนั้น การดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารนั้นต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องมีความพร้อมเต็มร้อยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้ในกรณีนี้ อย่างไรเสียหญิงสาวก็จะต้องลาออกจากงานอย่างแน่นอน

 

เมื่อผลลัพธ์ก็น่าจะเป็นไปตามที่เธอคาดการณ์และแอบกลัวเอาไว้จริง ๆ การที่ได้รับรู้ว่าตนเองจะต้องออกจากงานที่ตนเองใฝ่ฝันและตั้งใจจะทำมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยแบบนี้ก็ทำให้เจนนิญาไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้จริง ๆ หญิงสาวทั้งรู้สึกเสียใจและเสียดายมากที่ในวันที่เธอสามารถโบยบินขึ้นมาสู่ความฝันที่อยู่สูงดั่งก้อนเมฆซึ่งล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าได้แล้ว แต่อยู่ดี ๆ ก็เหมือนว่าปีกที่คอยพัดโบกให้เธอสามารถบินขึ้นมาแตะสัมผัสปุยเมฆอันสวยงาม ก็กลับหักร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน จนทำให้เธอกำลังรู้สึกเหมือนกับนางฟ้าที่ปีกหักและต้องพลัดตกลงมาจากสรวงสวรรค์

ทันทีที่กลับมาถึงห้อง ร่างบางก็หมดเรี่ยวแรงที่จะทำทุกสิ่งอย่างจนถึงกับต้องล้มตัวลงนอนลงบนเตียงอย่างรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก และเมื่อไม่รู้ว่าจะดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างไร เจนนิญาก็เลยได้แต่ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลรินลงไปบนหมอนสีขาวที่เธอใช้หนุนนอนอยู่ทุกค่ำคืน จนทำให้แม้กระทั่งหมอนใบใหญ่ ๆ ก็เริ่มเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาของนางฟ้า และหญิงสาวก็นอนร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหล่อนผล็อยหลับไป


(อ่านเนื้อเรื่องต่อได้ที่ลิงก์ด้านบน) 
 

วินัจฉัย :

มันไม่ดราม่า... อ่านแล้วเหมือนกราฟอารมณ์เรียบเรื่อยตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งๆที่เนื้อหาดราม่าดีหมดแล้ว แต่ในส่วนของการบรรยายไม่ก่อให้เกิดอิมแพคสะเทือนอารมณ์ เหมือนนางเอกรู้ว่าตัวเองป่วย เลยร้องไห้ แล้วโทรบอกหัวหน้า ก่อนจะโทรบอกครอบครัว... ลองเกลาวิธีการเล่าเรื่องดูใหม่ค่ะ ย้ำจังหวะเสียใจของนางเอกให้ละเอียดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง เดิน กิน วิธีถือโทรศัพท์ การข่มกลั้นอารมณ์ให้พ้นจากสายตาคนรอบข้าง คนเสียใจจะมีช่วงหน่วงอารมณ์ก่อนระเบิดน้ำตาออกมาค่ะ ซึ่งในเรื่องนั้นมีแต่ยังไม่ชัดเจนพอ เลยดึงอารมณ์ขึ้นไม่ถึงไคลแมกซ์ของฉาก

3

Masked v

Novel : ค้นรักจากหัวใจ
มายไอดี : 
http://my.dek-d.com/masked_v/
Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://www.dek-d.com/activity/41918/

ตัวอย่างอาการ :

         เอลินอร์เดินออกจากลิฟต์ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ครั้นถึงห้องผู้ป่วยก็เห็นพอลกำลังอ่านหนังสือให้คุณชาร์ล็อตต์ฟังตามเวลาเดิมราวกิจวัตร

          “หิวหรือยังคะ” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ชูตะกร้าใส่อาหารให้เห็น

          “ขอบคุณนะเอลลี่ กำลังหิวพอดีเลย” ภาวีละสายตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มตอบ

          เอลินอร์ตรงเข้ามาจูบทักทายแฟนหนุ่มก่อนจะนั่งข้าง ๆ เปิดตะกร้าแล้วนำอาหารออกวางไว้ให้หยิบทานง่าย ๆ ซึ่งมีทั้งซุป, สลัด และแซนวิช ภาวีทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ทว่าทานไปได้ครึ่งเดียวพยาบาลก็เข้ามาดูอาการผู้ป่วยพร้อมกับทำกายภาพบำบัด ซึ่งหวานนอนไม่ได้สติมาเกินหนึ่งเดือนแล้ว หากไม่คอยพลิกหรือขยับตัวบ้างอาจจะส่งผลให้เป็นแผลกดทับหรือแม้กระทั่งพิการได้

          สาวสวยชาวสวิสเฝ้ามองแฟนหนุ่มที่คอยช่วยพยาบาลขยับร่างกายให้คนป่วยด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แม้คุณชาร์ล็อตต์จะไม่ได้สติ แต่เอลินอร์รู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการแย่งพอลไปจากเธอ คำพูดในวันที่ทะเลาะกันรุนแรงยังคงติดตรึง

          “ใช่! ฉันรักเขา รักมาตลอด และจะไม่ยอมเสียเขาให้กับใครทั้งนั้น”

          พอนึกถึงคำพูดนั้น เอลินอร์กลับรู้สึกว่าคุณชาร์ล็อตต์ที่ยังคงไม่ได้สติกำลังยิ้มเยาะเธออยู่ เพราะตอนนี้พอลต้องคอยเอาใจใส่คุณชาร์ล็อตต์ไม่ห่าง เป็นเธอเสียอีกที่เริ่มรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นส่วนเกิน

          หลังจากพยาบาลดูแลคนป่วยจนเสร็จและออกจากห้องไปแล้ว ภาวีก็กลับมาทานอาหารที่ทานค้างไว้ ครั้นเห็นแฟนสาวเงียบไปคล้ายมีเรื่องไม่สบายใจจึงชวนคุย

          “เสียดายวันนี้คุณมาช้าไปหน่อย ไม่งั้นคงได้เจอเพื่อน ๆ ของผม พวกเขามาเยี่ยมชาร์ล็อตต์กันน่ะ”

          “หรือคะ” เอลินอร์พยายามยิ้มให้ดูสดใส

          “มีอรที่คุณเคยเจอแล้ว ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เคยมาทานอาหารที่คุณทำยังไงล่ะ” ภาวีพูดต่อ เอลินอร์พอจะนึกออกอยู่

          “แต่คนอื่น ๆ คุณยังไม่เคยเจอ เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะแนะนำให้คุณรู้จักนะ”

          “ค่ะ” เอลินอร์คลี่ยิ้มสดใส เริ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกหน ถึงอย่างไรพอลก็ยังคงดีกับเธอเสมอ เธอไม่น่าไปคิดอะไรแย่ ๆ อย่างการอิจฉาคุณชาร์ล็อตต์ที่นอนไม่ได้สติอยู่แบบนี้เลย

          “อาหารอร่อยไหมคะ” เธอถามความเห็นแฟนหนุ่มถึงรสชาติอาหารที่ทำมาให้

          ชายหนุ่มฉีกยิ้มแล้วพยักหน้า “อื้อ อร่อยทุกอย่างเลย ผมนี่โชคดีจริง ๆ ที่มีแฟนทำอาหารเก่ง”

          “แหม อย่าเพิ่งชมไปเลยค่ะ แค่อาหารง่าย ๆ เท่านั้นเอง แต่หลายวันมานี้ฉันทำแต่แซนวิชจนกลัวคุณจะเบื่อ เริ่มจะนึกไส้ใหม่ ๆ ไม่ออกซะแล้วสิ เอาไว้เราไปหาร้านใกล้ ๆ แถวนี้ทานกันดีไหมคะ คงไม่เสียเวลามากนัก” เอลินอร์เอ่ยชวน อยากให้ชายคนรักออกไปสูดอากาศภายนอกบ้าง แทนที่จะมัวอุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้

          “เอาไว้ให้ชาร์ล็อตต์หายดีก่อนเถอะนะ ผมกลัวว่าเธอฟื้นมาแล้วจะไม่พบใคร” ภาวีบ่ายเบี่ยงด้วยคำตอบเดิม เป็นคำตอบที่ทำให้เอลินอร์รู้สึกเจ็บลึกอย่างบอกไม่ถูก ไม่กล้าถามออกไปตรง ๆ ว่าเพื่อนหญิงคนนี้สำคัญกับเขามากขนาดไหน

          ภาวีผลุนผลันลุกไปที่เตียงคนป่วยทันทีที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาบางอย่าง ปลายนิ้วของหวานเหมือนจะกระดุกกระดิกหน่อยหนึ่ง สัญญาณเพียงเท่านี้ก็พอจะสร้างความตื่นเต้นให้คนที่เฝ้ารอมานานนับเดือน

          มืออันแข็งแรงเลื่อนมากุมมืออันบอบบางไว้อย่างทะนุถนอม ค่อย ๆ บีบและขยับให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นคลายตัว ภาวีเดินกลับมาหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้พร้อมกับนำเก้าอี้มาวางใกล้เตียงผู้ป่วยยิ่งขึ้น ก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มอ่านหนังสือให้เพื่อนสาวที่ยังคงไม่ได้สติฟัง

          “ผิดแล้ว เพื่อนเอ๋ย เสียงหนึ่งกล่าวขึ้น วิลเบอร์มองผ่านรั้วออกไป เห็นห่านยืนอยู่ข้างนอก...” ภาวีอ่านไปพลางทำเสียงเล็กเสียงน้อย ราวกับเล่านิทานให้เด็กเล็ก ๆ

          ชายหนุ่มยังคงอ่านหนังสือต่อไปอย่างเนิบช้า คอยชำเลืองหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่เป็นระยะ เอลินอร์มองคนทั้งสองแล้วพาลรู้สึกว่าตนเองได้กลายเป็นส่วนเกิน ตลอดเวลาที่คุณชาร์ล็อตต์นอนไม่ได้สติ พอลจะคอยอ่านหนังสือเล่มเดิมให้เธอฟังทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรอันน่าเบื่อหน่าย ทุกครั้งเอลินอร์จะอยู่นั่งฟังด้วย จนครั้งนี้เธอรู้สึกว่าควรจะพอเสียที

          “พอลคะ ฉันคิดว่าคุณควรจะกลับไปพักผ่อนบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าตลอดแบบนี้ก็ได้” เธอพยายามยกเหตุผล ชายหนุ่มหยุดอ่านหนังสือ หันมายิ้มให้แล้วตอบ

          “ไม่ได้หรอกเอลลี่ ชาร์ล็อตต์เธอไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว ผมต้องอยู่คอยดูแลเธอ” กล่าวจบเขาก็กางหนังสือทำท่าจะอ่านต่อ

          “ถ้าคุณเป็นห่วงคุณชาร์ล็อตต์ เราขอให้คุณจอห์นมาช่วยสลับกันดูแลก็ได้นี่คะ หรือฉันอาจจะให้คุณสเตฟานมาช่วยดูแลอีกคน” เอลินอร์ยังคงต่อรอง แค่ต้องการให้แฟนหนุ่มได้ใช้เวลาส่วนตัวกับเธอบ้าง แทนที่จะเอาแต่คอยดูแลเพื่อนสาวของเขาแบบนี้

          ภาวียังคงก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป ไม่ได้ตอบสนองต่อคำร้องขอจนเอลินอร์อดรนทนไม่ไหว รู้สึกเหมือนถูกแย่งชิงแฟนหนุ่มไปโดยหญิงสาวที่อยู่ในสภาพจะอยู่ก็ไม่ใช่จะตายก็ไม่เชิง

          ในที่สุดเอลินอร์ก็เลือกที่จะเหนี่ยวรั้งชายคนรักไว้ ด้วยเรื่องที่เธอตั้งใจจะเก็บไว้เป็นความลับระหว่างเธอและคุณชาร์ล็อตต์ จากที่คิดจะไม่เอ่ยถึงมันเพราะเห็นแก่สภาพที่เป็นอยู่ของอีกฝ่าย

          “ฉันมีเรื่องอยากจะบอกคุณค่ะพอล วันนั้นที่ฉันเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงอีกคน ทั้งหมดเป็นแผนของคุณชาร์ล็อตต์ เธออยากให้เราเลิกกัน...” เธอตั้งใจจะพูดต่อ แต่ชายหนุ่มยกมือเป็นการปรามไว้

          “ขอร้องล่ะนะเอลลี่ คุณอย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลย ผมขอให้ชาร์ล็อตต์ฟื้นมาก่อน...” ภาวีกล่าวทั้งที่ยังก้มมองหนังสือ ไม่ได้เงยหน้าแลแฟนสาว

          เอลินอร์เงียบไป พูดอะไรไม่ออกเมื่อชายคนรักไม่มีทีท่าจะฟังเธอเลย ดูไม่ออกว่าเขาไม่เชื่อเรื่องที่เธอเล่าหรือไม่คิดจะฟังเลยกันแน่ ยามนี้ดูเขาจะใส่ใจอยู่แต่กับอาการของคุณชาร์ล็อตต์ จนเธอรู้สึกว่าได้กลายเป็นคนอื่นสำหรับเขาไปแล้ว

          “เอ่อ ดึกแล้ว เดี๋ยวฉันกลับก่อนนะคะ” เธอขอตัว รีบเก็บภาชนะใส่อาหารจนดูลน

          “กลับดี ๆ นะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยลา ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือให้เพื่อนสาวฟังต่อราวกับกลัวจะเสียเวลา เมื่อเป็นเช่นนั้นเอลินอร์จึงเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ เพียงคนเดียว


(อ่านเนื้อเรื่องต่อได้ที่ลิงก์ด้านบน) 

 

วินัจฉัย :

อ่านจบ มีความรู้สึกว่า Conflict ในตัวภาวีที่มีต่อเอลินอร์ยังไม่ชัดเจนมากพอ ในขณะที่เอลินอร์นั้นชัดเจนมากๆ ทำให้การปะทะอารมณ์ระหว่างสองตัวละครที่ควรจะเกิดความตึงเครียด แผ่วลงกว่าที่ควรเป็น แถมยังส่งผลต่อฉากขับรถถัดไปที่ต้องสิ้นหวัง แต่กลับไปไม่สุด... สำหรับฉากนี้ แม้เป็นบรรยายจากบุคคลที่สาม แต่มุมมองส่วนใหญ่มาจากเอลินอร์ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเพิ่มส่วนของภาวี คุณสามารถเพิ่มน้ำหนักอารมณ์เอลินอร์ขึ้นได้อีกค่ะ เธอยังสามารถสะเทือนใจต่อความเฉยชาได้มากกว่านี้ เสียใจได้มากกว่านี้ ยิ่งเอลินอร์หดหู่มากเท่าไหร่ ฉากสุดท้ายจะยิ่งน่าประทับใจมากขึ้นด้วยค่ะ

4

Desnight/ดรันดา

Novel : ผลิรัก
มายไอดี : 
http://my.dek-d.com/torikita/

Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://www.dek-d.com/activity/41919/

คำแนะนำ : 
นอกจากการบรรยายบางบรรทัดที่วกวนทำให้แอบสับสน ฉากนี้คือนิยามของคำว่าน้อยแต่มากค่ะ การเล่าเรื่องค่อยๆ ดึงอารมณ์ขึ้นไปถึงไคลแมกซ์ได้แบบพอดี ไม่ห้วน ไม่สั้น แต่ก็ไม่ยืดยาวเกินไป จังหวะความตึงเครียด การผ่อนอารมณ์ของนางเอก ชวนลุ้นว่านางเอกจะตัดสินใจยังไง ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของฉากนี้ค่ะ

5

ณิษฐา

Novel : ลมใต้ปีกหงส์
มายไอดี : 
http://my.dek-d.com/namo-iris/
Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://www.dek-d.com/activity/41920/

คำแนะนำ :

สิ่งแรกที่สะดุดตาเลย คือการใช้คำเชื่อมซ้ำค่ะ “ครั้น” อาจจะลองใช่ เมื่อแทนก็ได้ “สรรพางค์กาย” คำว่าสรรคพางค์สามารถใช้โดดเดี่ยวได้ค่ะ ยิ่งตามหลังด้วยคำว่าร่างบอบบางของนางเอกแล้วคำว่ากายจะดูเยิ่นเย้อเกินไป นอกนั้นไม่มีอะไรแล้วค่ะ ทั้งจังหวะ บท อารมณ์ ความขัดแย้ง เขียนได้สุดยอดครบถ้วน อ่านไปขนลุกไป
   

6

แอมมีน่า

Novel : เกลียวรักสีคราม
มายไอดี : 
http://my.dek-d.com/am-m-minus/
Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://my.dek-d.com/am-m-minus/writer/view.php?id=1417314

คำแนะนำ :

ช่วงแรกเกือบดราม่าค่ะ มีความไม่พอใจ มีความน้อยใจ แต่ไม่ได้โกรธเคืองอะไรมากมาย สุดท้ายก็ดีกันแบบไม่เหลือจังหวะให้เล่นตัวเลย จริงๆไม่ควรใช้คำว่า เกรี้ยวกราดให้ชวนเข้าใจผิดว่าโกรธกันมากๆนะคะ ส่วนช่วงหลังเป็นฉากเบาๆ ที่สองตัวละครต่างจุดยืนใช้ทัศนคติของตัวเองมาฟาดฟันกันค่ะ ไม่ถึงกับดราม่าเพราะความขัดแย้งยังไม่ชัดเจนพอให้เกิดความตึงเครียด การเลือกใช้คำบรรยายต้องปรับอีกนิดให้กลมกลืน เช่นแผดเสียงของแม่อาจลองใช้ อุทานหรือ ร้องก็ได้ เพราะคำว่าแผดเสียงออกจากแสดงอารมณ์ในแง่ลบเกินไปสักหน่อย

7

คีตาสีเงิน

Novel : แผนรักร้ายสยบใจนายคุณหมอ
มายไอดี : 
http://my.dek-d.com/nimana/
Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://www.dek-d.com/activity/41921/

คำแนะนำ :

เขียนดีแล้วค่ะ การเล่าเรื่องค่อยๆเรียงลำดับอารมณ์ไต่ขึ้นไปแบบเป็นขั้นเป็นตอนดี บรรยายไม่มีสะดุด การแสดงอารมณ์ของตัวละครไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป ทำให้ทั้งฉากลื่นไหล ส่วนตัวชอบความหน่วงของอารมณ์พระเอกค่ะ ทั้งรักทั้งโกรธ คอนทราสกับอาการง้องอนของนางเอก ทำให้ดูน่ารัก ไม่เล่นตัว รักษามาตรฐานไว้นะคะ

8

อินเอวา

Novel : หัวใจห่มฟ้า
มายไอดี : 
http://my.dek-d.com/ineva 
Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://www.dek-d.com/activity/41922/

คำแนะนำ :

ในส่วนของบทสนาละเอียดถี่ถ้วนดีค่ะ แต่การใช้ศัพท์บรรยายกิริยาบางคำยังไม่ตรงกับบริบท เช่นตาเบิกโพลงควรจะใช้กับอารมณ์ที่หวาดวิตก กลัว มากกว่าดีใจหรือลังเล หรือหัวใจของหญิงสาวกระตุกไปพร้อมๆกับคำว่าไปพร้อมๆกับ คือเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่เหมือนฝันจะเห็นแหวนก็ตอนที่คุณธีร์ล้วงออกกระเป๋ามาแล้ว ทำให้จังหวะของเรื่องสะดุดไปนิดหน่อย... แต่โดยรวมแล้วเนื้อหามีเอกภาพดีมากค่ะ ความขัดแย้งเป็นเหตุเป็นผลชัดเจน ความกดดันของบรรยากาศทำได้ดี แทบไม่มีอะไรต้องแก้ งานเกินมาตราฐานมือใหม่มาไกลมากแล้วค่ะ (อ่านฉากนี้จบแล้วรู้สึกเสียวฟันจี๊ดขึ้นมาเลย)

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

7 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
chinchang22 Member 9 ก.ค. 59 07:52 น. 2

ขอบคุณมากเลยนะคะคุณกลิ่นเอื้อง ^^

คือคำแนะนำมันตรงจุดมากค่ะ เหมือนมีใครมากดเปิดสวิตซ์ไฟเลย

เราขาดการใช้ภาษากายของตัวละครในการบรรยายอารมณ์นี่เอง

ขอบคุณมากนะคะ จะพยายามฝึกบรรยายสีหน้าท่าทางของตัวละคร

ให้ละเอียดและเห็นภาพมากขึ้นค่ะ ขอบคุณมากๆ อีกรอบนะคะ _/\_

0
กำลังโหลด
Torikita Member 9 ก.ค. 59 20:40 น. 3

ขอบคุณคุณกลิ่นเอื้องมากๆค่ะ จะพยายามฝึกฝนและพัฒนาทักษะการเขียน นำข้อติติงมาปรับปรุงแก้ไข เป็นเกียรติมากค่ะที่ได้รับคำวิจารณ์จากนักเขียนอย่างคุณรักเลย

0
กำลังโหลด
อินเอวา Member 10 ก.ค. 59 21:22 น. 4

ขอบคุณคุณกลิ่นเอื้องมากๆเลยนะคะ ช่วยขัดเกลาในสิ่งเรามองไม่เห็น พออ่านคำแนะนะแล้วกลับไปอ่านฉากนั้นซ้ำ เห็นถึงจุดที่คุณกลิ่นเอื้องชี้ให้จริงๆค่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ จะนำกลับไปปรับปรุงแน่นอนค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
krunamo Member 12 ก.ค. 59 12:09 น. 6

ขอบคุณมากค่ะ... ไม่คิดไม่คิดฝันว่านิยายของตัวเองจะได้รับเกียรติจากคุณกลิ่นเอื้องให้คำแนะนำในครั้งนี้นำไปปรับใช้ด้วย...ดีใจมากๆ ค่ะ

0
กำลังโหลด
air 16 ก.ค. 60 14:07 น. 7

ขอบคุณโพสนี้มากเลยค่ะ แม้จะไม่ได้เขียนแนวดราม่าแต่ก็คิดว่าการใส่รายละเอียด การฟัง การสัมผัส จังหวะการหายใจ ลงไปในนิยายนั้น เป็นส่วนที่ตัวเองยังขาดอยู่ และได้เห็นตัวอย่างดีๆ อีกหลายเคสเลย


จะนำไปปรับใช้นะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด