‘พระมหาชนก’ วรรณกรรมจากพ่อที่เป็นยิ่งกว่าคำสอน



‘พระมหาชนก’ วรรณกรรมจากพ่อที่เป็นยิ่งกว่าคำสอน


สวัสดีค่ะน้องๆ เด็กดีไรท์เตอร์ทุกคน คอลัมน์ “สาระวรรณกรรม” กลับมาแล้วค่ะ^^  ก่อนจะเริ่มเขียนบทความนี้ขึ้นมาพี่หวานก็คิดอยู่นานว่าจะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวรรณกรรมหรือวรรณคดีไทยในแง่ไหนดี จนได้รับคำแนะนำจากพี่อตินพี่หวานก็เลยตัดสินใจนำเสนอผลงานพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช(รัชกาลที่ 9) ผู้เป็นที่รักและเป็นจุดศูนย์รวมหัวใจของคนทั้งประเทศ




(รูปภาพจาก : http://www.ookbeecomics.com/blogs/detail-page/1376)


ตลอดระยะเวลายาวนานที่พระองค์ทุ่มเทแรงกาย แรงใจเพื่อพัฒนาทุกๆ ด้านให้ประเทศไทยได้ก้าวหน้าไม่แพ้ชาติอื่นนั้น ไม่ใช่เพียงเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนเท่านั้น แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เก่งกาจรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง การบริหาร การดนตรี ไปจนถึงด้านภาษาเเละวรรณศิลป์ก็เช่นกัน พระองค์มีผลงานพระราชนิพนธ์ด้านวรรณกรรมให้ได้ประจักษ์ถึงพระอัจฉริยภาพมานานแล้วจากผลงานมากมาย อาทิเช่น หนังสือการแปลเรื่อง “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” จากฉบับภาษาอังกฤษของวิลเลียม สตีเวนสัน ที่มีชื่อเรื่องว่า “A man Called Intrepid” ซึ่งจัดพิมพ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2536 หรือจะเป็นหนังสือแปลเรื่อง “ติโต” จากฉบับภาษาอังกฤษของฟิลลิส ออตี ที่ชื่อ “Tito”  (ถ้าน้องๆ ติดตามพระราชประวัติจะพบว่า ติโต ยังเป็นชื่อแมวทรงเลี้ยงอีกด้วยนะคะ)
 


(รูปภาพจาก : http://www.sac.or.th/exhibition/books-of-the-kingdom/)


ผลงานทางด้านวรรณกรรมของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังมีอีกหลายเรื่องเลยค่ะ แต่เรื่องที่พี่หวานตัดสินใจหยิบยกมาพูดถึงในวันนี้ก็คือ ‘ พระมหาชนก ’ อันเป็นเรื่องราวที่หลายคนน่าจะรู้จักดีอยู่แล้ว พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเกิดความสนใจในเรื่องพระมหาชนกหลังจากที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จึงได้ศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎก และได้แปลมาเป็นฉบับภาษาอังกฤษจากมหาชนกชาดกนั่นเองค่ะ ด้วยพระปรีชาของพระองค์ท่านที่ต้องการนำเสนอเรื่องราวให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงมีการดัดแปลงเล็กน้อย ให้เหมาะสมกับยุคสมัยและสภาพบ้านเมืองในขณะนั้นอีกด้วย 
 


" หนังสือนี้เป็นที่รักของข้าพเจ้า หนังสือนี้ไม่มีที่เปรียบและจะเป็นที่ร่าเริงใจของผู้อ่าน
ต้องการให้เห็นว่าสำคัญที่สุดคนเราทำอะไรต้องมีความเพียร
ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์ "

- พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2539 -
ทรงปรารภถึงหนังสือเรื่องพระมหาชนกที่ได้เเต่งเสร็จเเล้ว (ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ : http://www.moe.go.th/ )

 
 

พี่หวานคิดว่า พระมหาชนก เป็นผลงานพระราชนิพนธ์ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งที่ไม่อยากให้ใครต้องพลาดเลยค่ะ เรื่องราวของพระมหาชนกเริ่มต้นขึ้นที่เมืองมิถิลา มีพระราชาพระนามว่าพระเจ้ามหาชนก มีพระโอรสสองพระองค์คือ พระอริฏฐชนก และ พระโปลชนก หลังจากที่พระราชาสวรรคต พระอริฏฐชนกผู้เป็นพี่ก็ได้ขึ้นครองราชย์ แต่อำมาตย์ได้ใส่ร้ายพระโปลชนกผู้เป็นน้องว่าคิดไม่ซื่อต่อพระอริฏฐชนก และมีคำสั่งให้จับกุมตัวพระโปลชนกไปขังไว้ แต่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ พระโปลชนกได้อธิษฐานและตั้งจิตว่า หากพระองค์ไม่ได้คิดร้ายต่อผู้เป็นพี่ขอให้เครื่องจองจำทั้งหลายจงหลุดไป และต่อมาก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นเมื่อเครื่องจองจำต่างปลดพันธนาการ พระโปลชนกจึงหนีไปได้

ในเวลาต่อมาพระโปลชนกได้รวบรวมไพร่พลจำนวนมากจากการขยายอำนาจ และได้ยกทัพกลับมาที่เมืองมิถิลาด้วยหวังจะยึดเมืองมิถิลา เมื่อพระอริฏฐชนกรับคำร่วมรบก็เป็นสาเหตุให้พระองค์ต้องตายในสนามรบนั่นเอง พระมเหสีของพระอริฏฐชนกที่กำลังตั้งครรภ์ในตอนนั้นทราบข่าวการตายของสวามีก็ปลอมตัวและหนีออกมาได้ทันท่วงที และเด็กในครรภ์ของนางก็คือ พระมหาชนก ผู้ได้รับการตั้งชื่อจากพราหมณ์ที่เลี้ยงดูตามชื่อของผู้เป็นปู่ที่สวรรคตไปแล้ว
 


 

พระมหาชนกเป็นเด็กที่มีพละกำลังและมีปัญญาหลักแหลมมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ อาจเป็นเพราะสืบเชื้อสายกษัตริย์โดยตรง ทั้งยังเป็นผู้มีบุญมาก ทำให้มีเหล่าเทวดาคอยช่วยเหลือตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดา เมื่อเติบโตขึ้นด้วยวัยเพียง 16 ปี พระมหาชนกเรียนรู้แทบทุกศาสตร์จนครบ อีกทั้งยังมีรูปโฉมงดงาม ได้ตัดสินใจที่จะล่องเรือค้าขายกับบรรดาพ่อค้าไปยังเมืองสุวรรณภูมิ เพื่อจะไปนำสมบัติของผู้เป็นบิดากลับคืน แม้พระมารดาจะห่วงกลัวพระมหาชนกต้องเจอกับอันตรายในมหาสมุทร แต่ก็ไม่สามารถห้ามปรามได้ จนกระทั่งเมื่อล่องเรือไปได้เพียงเจ็ดวันก็เผชิญกับพายุ ผู้คนในเรือพากันแตกตื่นเว้นแต่พระมหาชนกที่คุมสติไว้ได้ นำผ้าชุบน้ำมันมาพันรอบตัวก่อนจะปีนขึ้นไปบนเสากระโดงเรือและกระโดดลงไปยังมหาสมุทรเป็นการสละเรือที่กำลังจมลงไปในมหาสมุทร



เรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้คงเดาทางเหตุการณ์ต่อไปได้แล้วแน่เลย พี่หวานคิดว่าพระมหาชนกเป็นต้นแบบของผู้มีความเพียรอย่างแท้จริง เพราะถึงจะต้องว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรนานถึง 7 วัน!!! 7 คืน!!! แต่ก็ยังพยายามว่ายต่อไปด้วยใจที่มุ่งมั่นว่าจะถึงฝั่งในที่สุด ในเนื้อเรื่องก็จะมีกล่าวไว้ว่านางเมขลานั้นละเลยหน้าที่ตรวจตรามหาสมุทรไปนานจนเมื่อกลับมาพบพระมหาชนกกำลังแหวกว่ายเอาชีวิตรอดอยู่จึงเอ่ยบอกไปว่า มหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่กว่าที่พระมหาชนกจะประมาณได้ ถ้าว่ายไม่ทันถึงฝั่งก็คงตายอยู่กลางน้ำนี่แหละ แต่พระมหาชนกกลับตอบไปด้วยความมุ่งมั่นว่า บุคคลใดเมื่อทำด้วยความพยายามอย่างลูกผู้ชายย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง เมื่อทำด้วยความพยายามแล้วถึงตายก็ปราศจากคำครหา นางเมขลาได้ฟังดังนั้นก็สัมผัสถึงความตั้งใจจริงและความพยายามของพระมหาชนกที่ทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตตนไว้ จึงเอ่ยถามว่าต้องการไปที่ใดก่อนจะช้อนตัวพระมหาชนกและพาเหาะไปส่งยังเมืองมิถิลาตามต้องการ
 


 

ช่วงที่นางเมขลาพาพระมหาชนกมาส่งถึงเมืองมิถิลานั้น พระเจ้าโปลชนกก็สวรรคต ก่อนหน้านั้นยังได้ทิ้งปริศนาเอาไว้ให้แก่ผู้เป็นราชาคนต่อไป แต่ทว่าไม่มีผู้ใดไขปริศนานั้นได้ บรรดาพราหมณ์จึงตัดสินใจปล่อยราชรถให้วิ่งไปหาผู้มีบุญญาธิการที่จะมาเป็นพระราชาองค์ต่อไป และในตอนนั้นเองค่ะที่ราชรถมาหยุดอยู่ตรงที่พระมหาชนกนอนพักอยู่ แน่นอนว่าพระมหาชนกผู้เป็นโอรสแห่งพระเจ้าอริฏฐชนกที่วายชนม์สามารถแก้ไขปริศนาทั้งหมดได้ และได้รับการสถาปนาขึ้นครองเมืองมิถิลาในเวลาต่อมา ระหว่างที่พี่หวานอ่านเรื่องพระมหาชนกไปก็นึกถึงคำอีกคำที่ว่า คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ขึ้นมาได้ค่ะ เพราะพระมหาชนกตั้งมั่นในความดี ไม่ว่าจะต้องเจออันตรายใดๆ ก็สามารถผ่านอุปสรรคมาได้ทุกครั้งจนสามารถได้รับสิ่งที่เป็นของตนเองกลับคืนทั้งหมดได้ในที่สุด

น้องๆ คงจะเห็นแล้วใช่มั้ยคะ ด้วยพระอัจฉริยภาพด้านภาษาเเละวรรณศิลป์ของพระองค์ท่านช่วยสนับสนุนและให้ความสำคัญต่อวงการวรรณกรรมไทยไม่ให้สูญหายไป พี่หวานคิดว่าความตั้งใจของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่พระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกนี้ ด้วยความปรารถนาดีแก่ประชาชนของพระองค์ อยากให้ปฏิบัติตนตั้งมั่นด้วยความเพียรดังเช่นที่พระมหาชนกอดทนว่ายน้ำเพื่อหาทางรอดอยู่ในมหาสมุทรตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่ได้หยุดพักนั่นเองค่ะ ถ้าหากเราทำสิ่งใดด้วยความตั้งใจ แม้ว่าในตอนเริ่มต้นหนทางที่มีอุปสรรคอาจจะขรุขระไปบ้าง แต่ผลลัพธ์ของความพยายามจะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอนค่ะ ถือได้ว่าเรื่อง 'พระมหาชนก' นั้นเป็นมากกว่าผลงานพระราชนิพนธ์เพราะพระองค์ทรงแฝงข้อคิดคำสอนในการดำเนินชีวิตที่สามารถปรับเข้ากับทุกยุคทุกสมัยเอาไว้อย่างเเยบยล จนกลายมาเป็นคำที่ว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ ที่เราได้ยินอยู่ทุกวันนี้ ^^
 

พี่หวานชอบประโยคหนึ่งจากเรื่อง ตาผมเป็นต้นเชอร์รี่ ที่บอกว่า “คนเราจะไม่มีวันตาย ตราบใดที่ใครคนหนึ่งยังรักเรา” แม้ว่ากาลเวลาจะหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว... แต่คุณความดีและผลงานที่ผ่านมาจะช่วยย้ำเตือนการมีตัวตนของคนที่จากไปให้ชัดเจนอยู่ในหัวใจของคนที่ยังอยู่ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นแล้วพี่หวานก็หวังว่าน้องๆ ทุกคนจะซาบซึ้งไปกับพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก อันแฝงไปด้วยคำสอนและความหวังดีจากพ่อของแผ่นดินที่มอบแก่ลูกๆ ของท่าน เพราะความพยายามจะไม่มีวันทำร้ายใครอย่างแน่นอนค่ะ  แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะ ^______^

 

พี่หวาน
 

พี่หวาน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
มั ง ก ร ข า ว Member 18 ต.ค. 59 11:11 น. 2

มีฉบับการ์ตูนอยู่เล่มหนึ่งที่บ้าน ตอนเด็กหยิบมาอ่านบ่อยมาก เรื่องสนุกภาพสวย แฝงข้อคิดดีๆ หลายอย่าง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
lb'skLyrmN Member 19 ต.ค. 59 10:09 น. 4
ตอนเด็กเคยอ่านหลายครั้งประทับใจมาก และเป็นเรื่องที่ทำให้ผมคิดว่าทะเลเต็มไปด้วยสัตว์น้ำกระหายเลือด ยิ่งวาดพวกปลาพวกปูได้น่ากลัวขนาดนั้น
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด