รับสักตัวมั้ย! 10 สัตว์อัศจรรย์สุดพิลึกในตำนานจากยุคกลาง!

 
ชวนดูของแปลก!
10 สัตว์อัศจรรย์สุดพิลึกในตำนานจากยุคกลาง! 
 

สวัสดีค่ะชาวนักเขียนนักอ่านเด็กดีทุกคน กลับมาพบกับแอดมินเช่นเคย ในครั้งนี้ แอดมินจะชวนทุกคนมาพูดคุยเรื่อง “สัตว์ในตำนาน” หรือ “สัตว์อัศจรรย์” (เห็นช่วงนี้สัตว์อัศจรรย์มาแรง ขอเล่นหน่อย) กันค่ะ เวลาอ่านนิยายแฟนตาซี ไม่ว่าจะของไทยหรือต่างประเทศ สิ่งที่แอดมินชอบมากเลยก็คือ “สัตว์ในตำนาน” นักเขียนบางคนเขียนเก่งจนรู้สึกเหมือนมีตัวตนจริงๆ ยิ่งในช่วงยุคกลางนี่... ได้มีการสรุปพวกสัตว์ในตำนานต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ผ่านภาพวาดต่างๆ ในหนังสือ อ่านแล้วบางทีนี่แอบคิดว่า โอ้โห หรือว่านักเขียนพวกนี้ได้เห็นตัวจริงของมัน ก็เลยเอามาเขียนได้ละเอียดลออขนาดนี้ 
 

วันนี้แอดมินขอรวบรวมมาให้ 10 ชนิดด้วยกัน ป่ะ ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง เผื่อใครสนใจอยากเอาไปลองใช้ในนิยายตัวเองดูก็ไม่ว่ากันนะ  
 

 

ช่วงศตวรรษที่ 17 นักบุญอีซีโดโรแห่งเซบียา (Isidore of Seville) ต้องการเขียนบันทึก ศัพทมูลวิทยา (Etymologies) เพื่อรวบรวมสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้น รวมสัตว์ประหลาดที่ ลูแคน (Lucan) กวีชาวโรมันได้บรรยายเอาไว้ ลักษณะเด่นของมันคือ หน้าตาคล้ายงูอัฟริกันบินได้ ชื่อว่า อิลาคูลัส (Iaculus) หรือบางตำราก็เรียกว่า แจ็คคูลัส (Jaculus) ในบทกวีของลูแคน ได้เขียนถึงฉากที่อิลาคูลัสออกล่า มันจะเฝ้ารออยู่บนต้นไม้ พอเหยื่อผ่านเข้ามาในสายตา มันจะทิ้งดิ่งตรงไปหาทันที จากนั้นก็รัดเหยื่อไว้ (ลักษณะการล่าคล้ายงู) ในตำรายังระบุเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่อยากเลี้ยงอิลาคูลัสเอาไว้ดูเล่น ถ้าไม่อยากให้มันออกไปล่าเหยื่อหรือไล่ฆ่าคน ต้องเลี้ยงด้วยเบียร์อุ่นๆ ทุกวัน วันละชาม 
 

 

คาลาดิอุสคือนกในตำนาน ที่ปรากฎตัวต่อหน้าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ตามตำราระบุว่ามันมีสีเหลือง และมีอำนาจวิเศษช่วยเยียวยา โดยเฉพาะรักษาอาการตาบอดและดีซ่าน นอกจากรักษาแล้ว นกตัวนี้ยังสามารถพยากรณ์ความเป็นความตายได้ด้วย ถ้าหากมั่นใจว่าคนคนนั้นจะตาย มันจะมองไปทางอื่น แต่ถ้ารักษาได้ มันจะบินหนี ซึ่งคนสมัยก่อนเชื่อว่า มันได้นำพาอาการป่วยไปด้วย และคนคนนั้นก็จะหายดี 
 

 

บอนนาคอนเป็นสัตว์วิเศษที่ปรากฎตัวในยุคกลาง ศีรษะเป็นกระทิงและส่วนลำตัวเป็นม้า เขาของมันม้วนกลับหน้ากลับหลัง ส่วนใหญ่แล้ว บอนนาคอนไม่ค่อยโจมตีใคร แต่เมื่อถูกข่มขู่ มันก็ไม่ใช่ย่อยๆ จะปล่อยกลิ่นเหม็นแรงสุดๆ ออกมา (ผายลม...) และทำให้ศัตรูทนไม่ไหวต้องหนีไปในที่สุด
 

 

ดิพซา เป็น 1 ใน 17 สายพันธุ์งูที่เกิดขึ้น เมื่อเพอร์ซีอุสตัดศีรษะของเมดูซ่า ณ ตอนนั้น เลือดจากแผลของนางกระจายเป็นวงกว้าง และทำให้เกิดงูสายพันธุ์ใหม่ๆ จำนวนมาก ดิพซาเป็นหนึ่งในนั้น พวกมันเกิดขึ้นที่ทะเลทรายของลิเบีย พิษของมันร้ายแรงมาก ทำให้เหยื่อเป็นบ้าและปวดแสบปวดร้อน เจ้างูชนิดนี้ยังมีจุดเด่นคือ มันกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา ผู้บันทึกเรื่องของดิพซา คือลูแคน เขาบอกว่าได้เห็นภาพดิพซาฝังเขี้ยวลงบนเท้าของผู้ชายคนหนึ่ง ในภาพมีกลุ่มผู้หญิงรินน้ำใส่มัน เพื่อให้มันคลายพิษสงและยอมถอนเขี้ยวออก และเหตุผลที่ดิพซาทำร้ายผู้ชายคนนั้นก็เพราะเขาลักลอบเข้าไปถึงรัง เพื่อขโมยไข่ของมัน 
 

งูพิษร้ายที่มีสองหัว จึงสามารถขยับไปทางไหนก็ได้ แถมยังมีปีก เท้าและเขาด้วย เชื่อกันว่า ผิวหนังของมันรักษาโรคได้เยอะมาก แต่... ความเชื่อในตำนานของชาวกรีกระบุไว้ว่า ถ้าผู้หญิงท้องเดินข้ามเจ้างูแอมฟิสบีน่า พวกเธอจะแท้ง แต่ถ้าใครจับแอมฟิสบีน่าได้ มันจะช่วยปกป้องเจ้าของ คำแนะนำคือ ควรออกล่าแอมฟิสบีน่าในตอนกลางคืน ที่อากาศเย็นๆ ตาของมันจะสุกสว่างเหมือนแสงตะเกียง ทำให้หาตัวได้ไม่ยาก  
 

 

สัตว์วิเศษพบได้ที่อินเดีย ครึ่งหนึ่งเป็นกวาง อีกครึ่งเป็นสิงโต และหัวเป็นม้า แถมยังปากกว้างฉีกถึงใบหู มีเขี้ยวเป็นแผง ลีโอโครตาจะออกล่าเหยื่อตอนกลางคืน มันสามารถเปล่งเสียงแบบมนุษย์ล่อหลอกเหยื่อให้เข้ามาหาถึงที่ เชื่อกันว่าลีโอโครตาเป็นลูกหลานของสิงโตผสมกับไฮยีน่า มันชอบวนเวียนล่าเหยื่อแถวๆ หมู่บ้าน และเหยื่อของมันส่วนใหญ่ก็คือ พวกมนุษย์ที่ขี้สงสัย / อยากรู้อยากเห็นนั่นเอง
 

 

ไฮดรัสคือสัตว์อัศจรรย์ที่อาศัยอยู่แถวๆ ริมแม่น้ำไนล์ และเหยื่อของมันก็คือ “จระเข้” นั่นเอง เมื่อพบเห็นจระเข้นอนหลับ อ้าปากกว้าง เจ้าไฮดรัสจะรีบพอกตัวเองด้วยโคลน และเข้าไปนั่งอยู่ในปากของจระเข้ เมื่อจระเข้หุบปาก มันก็จะไต่เข้าไปข้างใน และสวาปามอวัยวะภายในของจระเข้ตัวนั้นจนหมด จากนั้นก็กัดทึ้งส่วนท้องเป็นรายการสุดท้ายเพื่อฆาตกรรมจระเข้ผู้โชคร้าย ตามตำนาน ไฮดรัสถูกค้นพบตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 7 ลักษณะของมันคล้ายๆ กับนก ตัวเล็กก็จริง แต่ร้ายกาจสุดๆ และมีฟันที่แหลมคมมาก 
 

 

สัตว์อัศจรรย์หน้าตาประหลาด ตัวเล็กจิ๋ว จมูกเหมือนตัวตุ่น หูเป็นตัววีเซล และมีหางกับขาเหมือนกระรอก หนังของมันเหมือนหนังหมู และมีฟันเหมือนหมูป่า คุณสมบัติพิเศษคือสามารถกระโดดไปตามต้นไม้ และมีวิธีการฆ่าคือ พ่นรังสีความร้อนที่ร้อนแรงพอจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้สบายมาก เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ มันโหดร้ายมาก และมักจะหวงถิ่นหวงรังเป็นพิเศษ ถ้าหากสัตว์ตัวไหนหลงมาอยู่ใต้รังของมัน เป็นต้องโดนรังสีความร้อนจัดการ  
 

 

ถ้าจะสรุปง่ายๆ โมโนเซรอสเหมือนยูนิคอร์นแห่งยุคกลาง ตัวเป็นม้า ซึ่งเป็นลักษณเด่นของยูนิคอร์น แต่เท้ากลับเหมือนเท้าช้าง และมีหางเหมือนหมูป่า ส่วนหัวเหมือนกวาง และตรงข้ามกับยูนิคอร์นที่เชื่องและใจดี โมโนเซรอสนั้นดุร้ายและพร้อมจะฆ่าทุกคนที่มาขวางหน้า เชื่อกันว่าเมื่อต้องล่าเหยื่อ โมโนเซรอสจะทำให้เหยื่อหูหนวกด้วยเสียงดังก้อง จากนั้นก็เคี้ยวกระดูกของเหยื่อเป็นชิ้นๆ  
 

 

ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าซาลามันเดอร์เป็นสัตว์ที่มีอยู่จริง แต่สำหรับซาลามันเดอร์ในยุคกลางนี้ มีคุณสมบัติพิเศษสุดคือ ทนความร้อนได้ และทนไฟได้ เชื่อกันว่ามันเป็นสัตว์จากนรก จึงทนไฟนรกได้ และฆ่ายังไงก็ไม่ตาย นอกจากทนไฟได้ ซาลามันเดอร์ยังมีพิษร้ายแรง จนสามารถฆ่าคนทั้งหมู่บ้านได้ พิษของมันยังทำให้ต้นไม้ตาย และคนที่กินผลไม้ที่คาบนต้นก็พลอยตายไปด้วย เรียกว่าเป็นสัตว์อัศจรรย์ที่โหดร้ายมากจริงๆ 

    

https://en.wikipedia.org/wiki/Hydrus