สุวรรณสาม Vs ชิมช็อง ต้นแบบความกตัญญูที่เหมือนกันในวรรณกรรมไทยและเกาหลี



ตำนานสุวรรณสามชาดก
เรื่องราวต้นเเบบของความกตัญญู

 


 
สวัสดีค่ะน้องๆ ไรท์เตอร์ทุกคน พี่หวานกลับมาพบกันอีกครั้ง พร้อมสาระวรรณกรรมน่าสนใจเช่นเคย สำหรับวันนี้พี่หวานก็ยังวนเวียนอยู่กับการเขียนวรรณกรรมเปรียบเทียบระหว่างของไทยและเกาหลี เพราะพี่หวานคิดว่าการหยิบวรรณกรรมสองเรื่องที่คล้ายกันมาเล่า จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้แก่คนอ่านได้ นอกจากจะได้รู้จักวรรณกรรมหลายเรื่องไปพร้อมกัน ยังสะท้อนความคิด ความเชื่อของเเต่ละสังคมผ่านวรรณกรรมเหล่านั้นได้อีกด้วย
 
เเละวันนี้เรื่องที่พี่หวานอยากนำเสนอให้น้องๆ ก็คือเรื่อง สุวรรณสามชาดก หนึ่งในชาดกเรื่องสำคัญที่น่ารู้ ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า ชาดก คืออะไร?
 
ชาดก มีความหมายตามพจนานุกรมหมายถึง เรื่องพระพุทธเจ้าที่มีมาในชาติก่อนๆ ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ชื่อนี้ หรือถ้าจะให้พี่หวานอธิบายอย่างง่ายก็คือเรื่องราวของพระพุทธเจ้านั่นเองค่ะ อย่างที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี ชาดกสำคัญที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆ มีอยู่ 10 เรื่อง เรียกว่า ทศชาติชาดก อันเป็นชาดก 10 ชาติสุดท้ายที่จะบำเพ็ญกุศลก่อนมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และในวันนี้พี่หวานขอเลือกหยิบชาดกเรื่องที่ 3 ชื่อเรื่องว่า สุวรรณสามชาดก มาเล่าให้น้องๆ ฟังค่ะ
 


เรื่องราวของสุวรรณสาม : หนึ่งในทศชาติชาดกที่สำคัญ


สุวรรณสามชาดกเป็นชาติที่พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญเมตตาบารมี เรื่องราวเริ่มต้นจากฤาษีสองคนอยู่ด้วยกันในป่า มีลูกชายชื่อสุวรรณสามคอยปรนนิบัติดูเเล ตั้งเเต่เล็กจนโตสุวรรณสามเป็นเด็กที่เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทของบิดามารดาอย่างมาก เขาจดจำเส้นทางการไปหาเสบียงเเละทางไปหาน้ำได้อย่างเเม่นยำ เพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระของบิดามารดาที่มุ่งอยากปฏิบัติธรรม วันหนึ่งขณะที่ฤาษีทั้งสองไปหาผลไม้ในป่าเกิดฝนตกหนักต้องหาที่หลบฝนจึงไปหลบอยู่ข้างจอมปลวก ด้วยความไม่ระวังงูพิษได้พ่นพิษออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง พิษนั้นกระเด็นเข้าไปในดวงตาของฤาษีทั้งสองจนตาบอดสนิทในทันที ไม่สามารถหาทางกลับไปยังอาศรมได้ ระหว่างนั้นสุวรรณสามก็รอให้พ่อกับแม่กลับมาที่ศาลา เเต่เมื่อเห็นท่าไม่ดีเวลาล่วงไปนานแล้วก็ยังไม่กลับจึงออกตามหาและในที่สุดก็พบพ่อกับแม่ที่ตาบอดเดินคลำทางวนอยู่ข้างจอมปลวก สุวรรณสามได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็เข้าใจเเละนำทางพ่อกับแม่กลับไปยังอาศรม เขาดูแลปรนนิบัติพ่อกับเเม่อย่างดีไม่มีบกพร่อง แม้ว่าจะต้องเหนื่อยยากแค่ไหนสุวรรณสามก็ไม่เคยบ่น เวลาที่สุวรรณสามต้องเข้าป่าไปหาผลไม้เเละเสบียง สัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็จะออกมาช่วยดูแลฤาษีทั้งสองไว้ให้
 

(รูปภาพจาก : http://www.wattongnai.com/669666/สุวรรณสามชาดก)

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ระหว่างที่ไปตักน้ำกำลังจะกลับไปที่อาศรม พระราชากบิลยักษ์ที่แอบเฝ้าดูอยู่เพื่อล่าสัตว์ก็เกิดความสงสัยไม่แน่ใจว่าสุวรรณสามเป็นเทวดาหรือเป็นสัตว์จึงลองยิงธนูออกไปก่อน ซึ่งลูกธนูก็ปักเข้าไปบนร่างของสุวรรณสามทันทีเเต่โชคดีที่ยังไม่ถึงตาย เเทนที่จะโกรธเคืองสุวรรณสามกลับพูดถามด้วยความเป็นมิตรสร้างความแปลกใจเเละตกใจให้แก่พระราชากบิลยักษ์อย่างมาก เมื่อพระราชาถามว่าสุวรรณสามเป็นใคร ก็ได้รับคำตอบว่า เขาชื่อ สุวรรณสาม และเพราะเหตุใดที่ต้องยิงธนูมาโดนที่ตัวของเขาเช่นนี้ พระราชาต้องการสิ่งใด เมื่อพระราชาได้ฟังก็เกิดความสลดใจที่พลั้งยิงโดยสุวรรณสามไป จนสุวรรณสามก็ตอบว่าสัตว์ทุกตัวในพื้นที่ป่านี้ไม่เคยหวาดกลัวและเตลิดจากตนไป ด้วยความรู้สึกผิดพระราชาจึงพูดความจริงว่าตนตั้งใจเล็งยิงสุวรรณสามจริง เมื่อถามได้ความว่าสุวรรณสามนั้นอยู่กับบิดามารดาที่ตาบอดเเละตนต้องเป็นผู้ดูเเลทุดอย่างในอาศรมแห่งนี้ เมื่อพ่อแม่ไม่มีคนปฏิบัติดูแลก็ย่อมต้องเกิดความลำบากภายภาคหน้าแน่นอน พระราชาได้ฟังจึงเกิดความรู้สึกสงสารและเห็นใจ พลางนึกว่าตนได้ทำสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ พระราชาจึงรับปากกับสุวรรณสามว่าจะดูแลพ่อกับแม่ของสุวรรณสามอย่างดีไม่ให้มีขาดตกบกพร่องก่อนจะหาบน้ำที่สุวรรณสามตักไว้เดินกลับไปที่อาศรม

เมื่อฤาษีทั้งสองได้ฟังข่าวร้ายเช่นนั้นก็ขอร้องให้พระราชาพาไปหาลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไปถึงร่างเเน่นิ่งของสุวรรณสาม ฤาษีทั้งสองก็ร้องไห้เสียใจ ขณะนั้นผู้เป็นแม่สัมผัสไปบนหน้าอกเห็นว่าบริเวณหัวใจยังเต้นอยู่อย่างอ่อนเเรงจึงมีความหวังว่าลูกชายของตนยังไม่ตาย พลางพูดว่าลูกนั้นเป็นคนดีเเละประพฤติดีมาโดยตลอด ขอให้พิษจากธนูหายไปและฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง แม้กระทั่งนางฟ้าผู้ดูแลเขาลูกนี้ซึ่งผูกพันและเห็นสุวรรณสามมาตั้งเเต่ยังเล็กว่าเป็นเด็กดี ก็ขอพรให้สุวรรณสามฟื้นเช่นเดียวกัน เเละในที่สุดพรก็เป็นจริง เพราะคุณความดีที่สุวรรณสามเคยทำส่งผลให้คำขอเป็นจริงขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้นแต่ความดีงามของสุวรรณสามยังส่งผลให้ฤาษีทั้งสองที่ตาบอกกลับมามองเห็นได้อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ พระราชากบิลยักษ์ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดยิ่งได้เห็นก็เกิดความประหลาดใจ พระราชารับปากว่าตนจะตั้งอยู่ด้วยคุณธรรม ต้องขอขมาในส่วนที่ทำให้สุวรรณสามเคยลำบากถึงชีวิตมาด้วยก่อนจะลากลับเมืองไป ฝ่ายสุวรรณสามเมื่อกลับฟื้นชีวิตอีกครั้งก็ดีใจที่พ่อกับแม่กลับมามองเห็นได้ เขายังคงปรนนิบัติฤาษีทั้งสองอย่างดีเสมอมาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
 
 


ความกตัญญูคือคุณธรรมสูงสุดที่บุตรพึงกระทำต่อพ่อแม่


จากเรื่องราวข้างต้น น้องๆ เห็นเเล้วใช่มั้ยคะว่าสิ่งที่ชาดกเรื่องนี้ต้องการจะสอนใจคนอ่านให้เห็นความสำคัญของการเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างที่สุวรรณสามได้ปฏิบัติมาตลอด เพราะความดีนั้นจะกลับมาคุ้มครองเราเมื่อเราตกอยู่ในอันตราย น่าจะเคยมีคนพูดเอาไว้หลายคนเลยนะคะกับคำที่ว่า พ่อแม่คือพระในบ้าน ไม่มีการทำบุญที่ไหนเหมือนการทำบุญกับพระในบ้านอีกแล้ว ถ้าหากลูกคนไหนทอดทิ้งละเลยพ่อแม่ พี่หวานคิดว่าวันหนึ่งก็คงจะไม่เหลือใครเเน่นอน ก็เหมือนกับเรื่องสุวรรณสามที่เขาไม่เคยทอดทิ้งพ่อกับเเม่ที่เป็นฤาษีตาบอดทั้งคู่ ท้ายที่สุดแล้วพรของพ่อกับเเม่ก็กลับมาคุ้มครองเขาอีกครั้งทำให้สามารถมีชีวิตขึ้นมาได้ ที่สำคัญกว่านั้นความดีของสุวรรณสามที่เคยมีได้ทำให้พ่อกับแม่ที่ตาบอดกลับมามองเห็นอีกครั้ง
 

เรื่องราวของสุวรรณสามคงจะทำให้น้องๆ เห็นคุณค่าของการเป็นลูกที่ดีแล้วใช่มั้ยคะ พี่หวานมองว่าวรรณคดีไทยประเภทชาดกเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากๆ เพราะคำสอนหลายอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงในชีวิตอีกทั้งยังจะส่งผลดีตามมาอีกด้วย เวลาที่เห็นข่าวผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ หรือต้องเดินทางตามหาลูกในโทรทัศน์หรือหน้าหนังสือพิมพ์ พี่หวานรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ก็ได้แต่คิดว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่่เรายังมีโอกาสได้ดูแลพ่อกับเเม่อย่างทุกวันนี้ แต่อ่านมาถึงตรงนี้เเล้วอย่าเพิ่งคิดว่าพี่หวานหมดเรื่องจะเล่าเเล้วนะคะ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาพี่หวานจะขอพาน้องๆ ไปรู้จักกับวรรณกรรมเกาหลีเรื่องดังที่มีชื่อเรื่องว่า 심청전 ( อ่านว่า ชิมช็องจอน)
 
 


เรื่องราวของชิมช็อง : หญิงสาวผู้กตัญญูต่อบิดาตาบอด


วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของเกาหลีที่เล่าถึงความกตัญญู บุญบาป และการทำความดีต่างๆ ซึ่งปกติทางเกาหลีจะเน้นหลักความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชาย แต่เรื่องนี้เป็นความสัมพันธ์ของพ่อและลูกสาวผู้กตัญญู(효녀) เเละเรื่องศาสนาที่ปรากฏอยู่ในสังคมเกาหลีเป็นหลักค่ะ

ในทางเกาหลี เนื้อเรื่องของชิมช็องมีอยู่ว่า เธอเป็นเด็กสาวที่อาศัยอยู่ในบ้านกับบิดาตาบอดมาตั้งเเต่ยังเล็ก เพราะเเม่ผู้ให้กำเนิดชิมช็องนั้นตายหลังจากที่เธอเกิดมาได้ไม่ถึงเจ็ดวัน ความลำบากเริ่มต้นขึ้นมาตั้งเเต่เธอยังไม่รู้จักความ ในตอนที่ยังเป็นทารกบิดาตาบอดของเธอต้องไปอาศัยขอน้ำนมจากบ้านอื่นเพื่อมาเลี้ยงดูชิมช็อง จนกระทั่งเวลาผ่านไปชิมช็องเติบโตมาเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาและจิตใจที่งดงาม ชิมช็องไม่เคยบกพร่องในหน้าที่การดูแลพ่อเลย เธอช่วยเหลือดูเเลพ่ออย่างดีโดยไม่บ่นแม้ว่างานทั้งหมดจะหนักหนาเกินไปสำหรับผู้หญิงก็ตาม ชิมช็องมีฝีมือในการเย็บผ้าจึงรับผ้ามาเย็บบ้าง และนอกจากนี้ยังรับงานทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ มาทำเพิ่มเติมด้วย คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันสงสารชิมช็องและพ่อจนบริจาคข้าวสวยกับกิมจิให้คนละนิดละหน่อยเพื่อประทังชีวิต เเม้จะมีครอบครัวขุนนางมาขอรับชิมช็องไปเลี้ยงเเต่ว่าเธอกลับคิดถึงพ่อมากกว่า ถ้าหากเธอไปอยู่ที่อื่นเเล้วใครจะเป็นคนดูแลพ่อที่ตาบอด วันหนึ่งเมื่อชายตาบอดเห็นว่าชิมช็องกลับบ้านผิดเวลาก็ได้แต่นั่งเป็นห่วง จึงตัดสินใจเดินงกๆ เงิ่นๆ ไปตามหาชิมช็องจนกระทั่งตกจากสะพานไปเเละมีพระรูปหนึ่งมาช่วยเอาไว้ เเละได้พูดกับ ชายตาบอดว่า 'เอาอย่างนี้...ถ้าอยากจะหายจากการตาบอด เจ้าจะต้องนำข้าว 300 กระสอบไปถวายต่อพระพุทธองค์ด้วยใจศรัทธาจะมีโอกาสที่ตากลับมามองเห็นได้ เเต่ลำบากแบบนี้ก็คงเป็นเรื่องยากสินะ'  เมื่อชิมช็องได้ฟังก็ดีใจมากและพยายามหาวิธีที่จะได้ข้าว 300 กระสอบมาให้พ่อ หลังจากได้ยินข่าวลือว่ามีคนตามซื้อตัวหญิงสาวอยู่ เธอออกตามหากลุ่มชาวประมงที่ต้องการหญิงสาวพรหมจรรย์ไปบูชาเทพแห่งท้องทะเล โดยเธอต่อรองแลกตัวเองกับข้าว 300 กระสอบ ด้วยชาวประมงนั้นมีความเชื่อว่าก่อนออกเดินทางจะต้องนำหญิงสาวบริสุทธิ์ไปบูชาต่อเทพท้องทะเลด้วย เมื่อตกลงกันเรียบร้อยวันที่พวกชาวประมงมรับตัวชิมช็อง เธอขอให้ได้จัดเตรียมอาหารไว้ให้พ่อก่อนจะตามไปขึ้นเรือ ระหว่างแล่นเรืออกมากลางทะเลก็เกิดคลื่นลมอย่างแรง ชิมช็องจัดการความวุ่นวายเเละกังวลใจตนเองเรียบร้อยเเล้วก็กระโดดลงไปในทะเลทันที เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้ามากจริงๆ นะคะที่หญิงสาวคนหนึ่งต้องมาจบชีวิตตัวเองเช่นนี้ แต่นี่ก็เป็นการแสดงความเด็ดเดี่ยวที่ว่าเธอมีความกตัญญูและรักพ่อผู้ให้กำเนิดมากกว่าตนเอง^^
 

(รูปภาพจาก : 
http://dmifamily.tistory.com/224)

ต่อมาภายหลังชิมช็องที่ยังพอมีสติก็ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่วังใต้ท้องทะเล เเละได้พบกับเเม่ที่ตายไปเเล้วกลับมาเกิดเป็นภรรยาเง็กเซียน ทั้งสองได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขชั่วครู่หนึ่งทดเเทนเวลาที่แม่ตายไปภายหลังคลอดชิมช็องได้ไม่นาน หลังจากที่แม่ร่ำลาชิมช็องเพื่อกลับสวรรค์ เวลาต่อมาเง็กเซียนก็มาคุยกับเจ้าสมุทรเพราะชิมช็องถึงอายุที่ต้องแต่งงานเเล้ว เมื่อเจรจากันไปมาก็เป็นอันว่าจะส่งชิมช็องกลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์ โดยส่งผ่านดอกบัวดอกใหญ่สีสวยพร้อมคนรับใช้ขึ้นไปด้วย จนพระราชามาพบเข้าและในที่สุดชิมช็องก็ได้แต่งงานกับพระราชา ก่อนหน้านั้นพระราชาสูญเสียมเหสีองค์ก่อนไปจึงเอาเเต่จมอยู่กับความโศกเศร้า เเต่เมื่อเจอชิมช็องเเละได้แต่งงานกันเขาก็ได้รับแต่สิ่งดีๆ บ้านเมืองก็เจริญขึ้นมาพระราชาจึงมีความรู้สึกว่านี่คงเป็นโชคชะตาจากสวรรค์ เพราะตนเลือกแต่งงานกับคนไม่ผิด การเเต่งงานกับหญิงสาวที่ดีจึงทำให้เกิดสิ่งดีๆ ตามมานั่นเอง 
 

(รูปภาพจาก : http://m.blog.naver.com/buboek/70179205405)

วันหนึ่งพระราชาเห็นชิมช็องดูเป็นกังวลจึงเข้าไปถาม หลังจากนั้นชิมช็องก็เล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้พระราชาฟัง ก่อนจะส่งทหารให้ออกไปตามหาบิดาผู้ตาบอดของชิมช็องเเต่แล้วก็ไม่พบ เพราะว่าพ่อของชิมช็องมีแม่หม้ายคนหนึ่งมาอยู่ด้วย เเต่หล่อนเป็นคนที่ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพียงเวลาไม่นานข้าว 300 กระสอบที่ชิมช็องแลกกับตนเองเพื่อให้พ่อได้เอาไปบูชาก็หมดไป ด้วยความอับอายทั้งสองคนไม่สามารถอยู่ที่หมู่บ้านเดิมอีกแล้วจึงพากันย้ายที่อยู่ไปที่อื่น นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารของพระราชาออกไปตามหาพ่อของชิมช็องที่บ้านเกิดแล้วไม่พบ พระราชาตัดสินใจเปลี่ยนแผนออกคำสั่งเรียบรวมตัวชายตาบอดทุกคนในราชอาณาจักรให้มารวมกันที่พระราชวังเพื่อให้ชิมช็องได้เลือกดูว่าคนไหนคือพ่อตนเอง ซึ่งจากประกาศนั้นเองแม่หม้ายก็ได้พาพ่อของชิมช็องเดินทางมาเพื่อเข้าไปยังพระราชวัง เเต่ระหว่างทางเธอก็ตัดสินใจหนีตามไปกับคนอื่นซะก่อน ปล่อยให้ชายตาบอดเข้าไปพบชิมช็องเพียงลำพัง แม้ตอนเเรกพ่อลูกจะยังจำกันไม่ได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป พ่อก็สภาพย่ำแย่เพราะขาดการดูเเลตนเองจึงดูคล้ายขอทานทำให้ชิมช็องไม่แน่ใจว่านั่นคือพ่อของตนหรือไม่ ชายตาบอกจึงเริ่มเล่าเรื่องครอบครัวตัวเองให้ฟัง ซึ่งข้อมูลนั่นเองเป็นสิ่งยืนยันความเป็นพ่อลูกระหว่างชิมช็องกับชายตาบอด ทันใดนั้นเองด้วยพลังความรักและพลังความดีของชิมช็องก็ทำให้ดวงตาที่เคยมืดบอกเปิดกว้างขึ้นมา ทั้งสองกอดกันด้วยความรักและความคิดถึง เเละได้อยู่ด้วยกันอย่างสุขสบายใจพระราชวัง

 

ความคล้ายคลึงกับเรื่องสุวรรณสามชาดก


พี่หวานคิดว่าสิ่งที่เหมือนกันอย่างชัดเจนคือการนำเสนอเรื่องราวความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่ของทั้งสองเรื่องโดยวรรณกรรมเกาหลีเล่าผ่านตัวละครที่เป็นลูกสาวชื่อชิมช็อง ต้องดูแลพ่อตาบอดเหมือนเรื่องสุวรรณสาม ในเรื่องชิมช็องยอมขายวิญญาณของตนเองเพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่งให้พ่อที่ตาบอดเอาไปซื้อข้าว 300 กระสอบเพื่อนำไปบูชาพระโพธิสัตว์ ให้หายจากการตาบอดตามคำบอกเล่าของพระรูปหนึ่ง โดยพ่อไม่รู้เลยว่าลูกสาวต้องกระโดดลงทะเลเพื่อเป็นเครื่องบูชาท้องทะเลด้วยหญิงสาวบริสุทธิ์ ซึ่งยึดถือเป็นประเพณีของชาวประมงที่ต้องทำยามออกเรือ กว่าจะผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้ชิมช็องก็ต้องถึงคราวสิ้นชีวิตเช่นเดียวกับสุวรรณสาม แต่แล้วด้วยความดีงามและความกตัญญูตลอดมาของชิมช็อง ทำให้เธอสามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้งและเมื่อได้พบหน้าพ่อที่ตาบอด ด้วยความรักของชิมช็องที่มีต่อพ่อทำให้พ่อของเธอกลับมามองเห็นได้อีกครั้งเมื่อพวกเขากลับมาเจอกัน
 

(รูปภาพจาก : http://dmifamily.tistory.com/224)
 


ความเชื่อทางศาสนาที่โดดเด่นจากเรื่องชิมช็องจอน(심청전)


ในเรื่องชิมช็องจอน มีความเชื่อของศาสนาต่างๆ อยู่มากมาย พี่หวานคิดว่าวรรณกรรมเรื่องนี้โดดเด่นในเรื่องความเชื่อของศาสนาเป็นพิเศษเลยค่ะ อย่างที่น้องๆ อ่านไปข้างบนจะเห็นว่ามีทั้งเรื่องของการทำบุญ เเละความเชื่อในการบูชาเทพ รวมไปถึงการปรากฏตัวของพระ ที่เข้ามาเเนะนำวิธีแก้ไขอาการตาบอดให้ถวายข้าวสามร้อยกระสอบต่อพระโพธิสัตว์ด้วย พี่หวานก็เลยจะหยิบความเชื่อทางศาสนาต่างๆ มาพูดให้ฟังคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ


ความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจาก shamanism


เมื่ออ่านเนื้อเรื่องจบจะพบว่ามีความเชื่อมากมายเลยทีเดียวที่ปรากฏอยู่ในเรื่องชิมช็องจอนนี้ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อของ shamanism ที่พี่หวานเคยอธิบายไปแล้วในบทความก่อนหน้า เรื่อง ความสัมพันธ์ที่แอบแฝง Shamanism กับประเทศเกาหลีใต้ พอมาปรากฏอยู่ในเรื่องนี้อีกครั้งยิ่งทำให้ชัดเจนขึ้นไปได้อีกว่าความเชื่อแบบ shamanism คือสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับสังคมเกาหลีมายาวนานจริงๆ

ความเชื่อเรื่อง shamanism ที่ปรากฏในเรื่องนี้เด่นชัดก็คือ การทำพิธีเซ่นไหว้ เพราะความเชื่อในภูติผีและวิญญาณ จึงต้องทำการบูชายันต์ด้วยหญิงสาวบริสุทธิ์ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อพื้นบ้านดั้งเดิมที่เราต้องมีการเซ่นไหว้ขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง จากในเรื่องกลุ่มชาวประมงพยายามหาหญิงสาวติดเรือมาด้วยยามออกเรือเมื่อเจอพายุโหมกระหน่ำก็จะบูชาท้องทะเลด้วยการให้หญิงสาวกระโดดลงไปท่ามกลางคลื่นลมแรงนั่นเอง และครั้งนี้ชิมช็องคือคนกระโดดเพื่อบูชาท้องทะเล ภายหลังจากร่างของชิมช็องจมลงไปในทะเลคลื่นลมก็สงบลง ยิ่งไปสนับสนุนความเชื่อให้ผู้คนเคารพภูตผี หรือวิญญาณ หรือเทพประจำที่ต่างๆ มากยิ่งขึ้น

 


ความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อ


นอกเหนือจากความเชื่อเรื่อง shamanism ในเรื่องชิมช็องตอนนี้ค่อนข้างมีความคิดเกี่ยวกับศาสนาอยู่เยอะเลยค่ะ ต่อไปพี่หวานจะขอพูดถึงความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื๊อ น้องๆ หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าโดยพื้นเพดั้งเดิมแล้วประเทศเกาหลีในอดีตมีความเชื่อในลัทธิขงจื๊อมากพอๆ กับความเชื่อเรื่อง shamanism เลยค่ะ ความเชื่อเด่นชัดที่ปรากฏในเรื่องตามหลักของลัทธิขงจื๊อคือเรื่องความกตัญญู(효) โดยจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายซึ่งลูกจะต้องดูแลพ่อให้ดี แม้ว่าในเรื่องจะเล่าผ่านตัวละครชิมช็องที่เป็นลูกสาว แต่ก็ยังคงเน้นไปที่เรื่องความกตัญญูที่ลูกควรปฏิบัติต่อพ่อแม่ ซึ่งความกตัญญูนี้เป็น 1 ใน 8 คุณธรรมสำนึกที่ควรปฏิบัติด้วย
 


ความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเต๋า


คนเกาหลีในช่วงที่มีอิทธิพลจากขงจื๊อเข้ามานั้น ยังมีความเชื่อตามแบบลัทธิเต๋าของจีนมาควบคู่กันด้วยค่ะ ความเชื่อตามแบบลัทธิเต๋าที่ปรากฏในเรื่องนี้ส่วนมากจะเป็นในลักษณะของการนับถือเทพค่ะ น้องๆ คงจะเห็นว่ามีการปรากฏตัวของเทพมากมายหลายองค์เลย ไม่ว่าจะเป็น เง็กเซียน, เจ้าสมุทร, เทพธิดาต่างๆ เป็นต้น เพราะพวกเขามีความเชื่อในอำนาจของเทพที่ปกป้องคุ้มครองที่ต่างๆ อยู่ จึงจำเป็นที่เราจะต้องให้ความเคารพบูชา ดังเช่น กรณีที่ชาวประมงทำเป็นเป็นประจำนั่นก็คือการนำตัวผู้หญิงบริสุทธิ์มาบูชาต่อเทพท้องทะเลก่อนออกเรือแล้วคลื่นลมจะสงบ พี่หวานคิดว่ากรณีนี้คงเป็นการทำเพื่อความสบายใจของคนสมัยก่อนแน่ๆ ค่ะเพื่อให้การออกเรือเเต่ละครั้งปลอดภัยกลับมาโดยสวัสดิภาพ ซึ่งการเซ่นไหว้ต่อเทพตามลัทธิเต๋าก็จะไปสอดคล้องตามความเชื่อเรื่อง Shamanism อีกด้วย 
 


ความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ


โดยในความเชื่อจากอิทธิพลของศาสนาพุทธก็ยังมีแบ่งออกเป็นสองนิกายที่มีวิธีการปฏิบัติตัวเเตกต่างกันไป ถ้าของไทยก็จะเป็นนิกายเถรวาทที่มีคำสอนให้รู้จักบาปบุญเเละการพ้นทุกข์ ส่วนถ้าเป็นทางเกาหลีที่นับถือตามนิกายมหายานก็จะเป็นไปตามการบำเพ็ญประโยชน์ การบริจาค ช่วยเหลือให้พ้นทุกข์และนับถือปฏิบัติตนอย่างพระโพธิสัตว์

จากเนื้อเรื่องได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของศาสนาพุทธที่สอนให้เราทำบุญ หมั่นสะสมบุญเอาไว้ และรู้จักแบ่งปันสิ่งที่เรามีให้ผู้อื่นเพื่อที่เราจะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีหลายเหตุการณ์ที่มีความเชื่อแบบพุทธนั่นก็คือตอนที่ชิมช็องไปพบพระและได้รู้ว่าการจะให้พ่อหายจากการตาบอดต้องถวายข้าว 300 กระสอบให้แก่พระโพธิสัตว์เหมือนเป็นการบริจาคทาน ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนในศาสนาพุทธให้รู้จักแบ่งปันเพื่อสะสมบุญ เพราะเชื่อว่าบุญและคุณความดีนั้นจะส่งผลให้พ่อของชิมช็องกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง


 
เห็นได้ชัดเลยนะคะว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไทยหรือเกาหลี ก็มีแนวความคิดและคำสอนที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือเรื่องของความกตัญญูค่ะ ใครที่เป็นคนรู้จักความกตัญญูย่อมมีแต่จะได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตเหมือนอย่างสุวรรณสามและชิมช็องค่ะ เพราะความกตัญญูที่ได้ทำต่อพ่อกับแม่อันถือเป็นพระประจำบ้านที่เราควรให้ความเคารพย่อมปกป้องคุ้มครองเราได้ เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็คือความรักจากพ่อแม่นี่แหละค่ะ

พอได้อ่านวรรณกรรมที่ให้ความสำคัญในเรื่องการเคารพบุพการีแบบนี้ พี่หวานก็พอจะเข้าใจได้แล้วค่ะว่าครอบครัวคือพื้นฐานของสังคมจริงๆ ถ้าครอบครัวแต่ละครอบครัวเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น ย่อมส่งผลให้สังคมนั้นน่าอยู่มากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ เรื่องราววันนี้อาจจะเป็นสาระวรรณกรรมที่ดูจะเคร่งเครียดไปหน่อย แต่ก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ พี่หวานสนุกกับการได้เลือกสรรวรรณกรรมมาเปรียบเทียบให้น้องๆ ดู เผื่อว่าใครได้แรงบันดาลใจไปต่อยอดนิยายก็ได้น้าาา ส่วนบทความหน้าจะเป็นเรื่องอะไรต้องฝากติดตามด้วยนะคะ ^____^

 
พี่หวาน

พี่หวาน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ทดลองเป็นม่อน Member 12 เม.ย. 60 03:54 น. 1

ตรงความเชื่อที่รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ ไม่ใช่ว่า ไทยเป็นนิกายเถรวาทและเกาหลีเป็นนิกายมหายานหรอคะ? //ปล.วรรณกรรมเกาหลีเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับชาดกแล้วน่าสนใจมากค่ะ ขอบคุณที่ทำบทความดีๆมาให้อ่านนะคะ

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด