ไขข้อข้องใจ เหตุใดต้อง "จุ๊บกันใต้ช่อมิสเซิลโท" ด้วย?!
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน ใกล้วันคริสต์มาสอย่างนี้ ชวนให้พี่น้ำผึ้งนึกถึงนิยายฝรั่งหลายๆ เรื่องที่เคยอ่าน ส่วนมากแล้วถ้านิยายเรื่องนั้นมีช่วงเวลาใกล้เคียงกับเทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาส ฉากโรแมนติกที่ขาดไม่ได้เลยก็คือพระ-นางจูบกันใต้ต้นมิสเซิลโท (Mistletoe) ค่ะ
จริงๆ พี่น้ำผึ้งคิดว่าการที่พระเอกจุ๊บนางเอกใต้ช่อมิสเซิลโทในคืนวันคริสต์มาสเนี่ย มันช่างเป็นอะไรที่โรแมนติกและอบอุ่นมากเลยนะ! แม้กระทั่งในหนังสือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟินิกซ์เองก็มีฉากที่แฮร์รี่จูบโชแชงใต้ต้นมิสเซิลโทเช่นกัน มันเลยทำให้พี่น้ำผึ้งเกิดความสงสัยว่าทำไมต้องจูบใต้ต้นมิสเซิลโทด้วย? แล้วไอ้เจ้ามิสเซิลโทมันคืออะไรเหรอ? ถ้าเกิดว่าน้องๆ ชาวเด็กดีเองก็สงสัยเหมือนกันกับพี่ วันนี้พี่ได้หาคำตอบมาฝากน้องๆ แล้วค่ะ มาเปิดตำนานมิสเซิลโทกันเลยดีกว่าจ้า
อะไรคือมิสเซิลโท (Mistletoe)
มิสเซิลโท (Mistletoe) เป็นพันธุ์ไม้หนึ่งที่เกิดขึ้นบนต้นไม้ อาศัยอยู่บนต้นไม้ คอยแย่งอาหาร แร่ธาตุและน้ำจากต้นไม้ที่มันเกาะ พูดง่ายๆ ก็คือกาฝากนี่แหละ ซึ่งเจ้ามิสเซิลโทเนี่ยเป็นพุ่มสีเขียว ใบแบนๆ มีลูกไม้ขนาดประมาณลูกเบอร์รี่ เป็นสีขาวหรือสีแดงแล้วแต่สายพันธุ์ค่ะ ภายในลูกสีขาว – แดงจะเต็มไปด้วยยางเหนียวๆ และเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ความวิเศษของมิสเซิลโทก็คือ แม้พืชหลายชนิดจะผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งสีดำในหน้าหนาว แต่มิสเซิลโทกลับยังมีใบเขียวๆ ให้เห็นอยู่
"มิสเซิลโท" ชื่อนี้มีที่มา
ว่ากันว่าชื่อ “มิสเซิลโท” มาจากวิธีการขยายพันธุ์ของมันที่ผ่านทางมูลนก กล่าวคือเมื่อนกกินผลของต้นมิสเซิลโทเข้าไป เวลานกไปถ่ายบนต้นไม้ต้นอื่นก็จะทิ้งมูลไว้ เมล็ดของมันจึงปนอยู่ในกองมูลนั้นและเติบโตเป็นต้นมิสเซิลโทเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่เหมาะสมค่ะ เพราะงั้นคำว่า “mistletoe” จึงแผลงมาจากคำว่า “misteltan” ในภาษาแองโกล – แซกซอนที่แปลว่ากิ่งไม้เล็กๆ ที่ปักบนมูลนั่นเอง
นกกำลังกินมิสเซิลโท
(via: Shuttlestock)
จูบแสนหวานใต้ช่อมิสเซิลโท
แม้ว่ามิสเซิลโทจะเป็นกาฝากดูไร้ค่า แต่ถ้าเข้าช่วงเทศกาลคริสต์มาสเมื่อไหร่ ไอ้เจ้ากาฝากนี่แหละจะมีค่าขึ้นมาทันที เพราะหนุ่มสาวมักจะไปยืนใต้ต้นมิสเซิลโทและคิสกันจ้า มีความเชื่อว่าหากใครได้จูบคนที่เรารักใต้ต้นมิสเซิลโทแล้วล่ะก็ มันหมายถึงความรักอันเป็นนิรันดร์ตราบนานเท่านานเลยล่ะ ส่วนหนุ่มสาวที่กำลังดูใจกันอยู่ มันหมายถึงว่า “ฉันกำลังขอเธอเป็นแฟนนะ”
คำถามถัดมาก็คือ อ้าว แล้วทำไมต้องใต้ต้นมิสเซิลโทด้วยล่ะ? จริงๆ มันมีตำนานและที่มานะคะ ซึ่งคงต้องย้อยไปถึงสมัยกรีกโบราณ, เคลท์, บาบิโลเนีย และสแกนดิเนเวียเลยจ้า ยกตัวอย่างเช่นชาวกรีกโบราณถือว่าเจ้ามิสเซิลโทเนี่ยเป็นยาบำรุงทางเพศ (aphrodisiac) เชื่อว่ามันช่วยในการเจริญพันธุ์ และสามารถใช้เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ค่ะ ส่วนชาวยุโรปตอนต้นก็เชื่อว่ามิสเซิลโทสามารถใช้ป้องกันเวทมนตร์ของแม่มดได้ค่ะ
ขณะที่ตำนานฝั่งบาบิโลเนียนนั้นมีความเชื่อที่ใกล้เคียงกับในปัจจุบันค่ะ ในเวลานั้นสาวโสดที่กำลังมองหาคู่ครองมักจะออกไปยืนอยู่หน้าวิหารของเทพเจ้าแห่งความรัก ต้นมิสเซิลโทจึงถูกแขวนอยู่เหนือทางเข้าวิหาร เมื่อใดก็ตามที่มีหนุ่มโสดสนใจหญิงสาว พวกเธอจะผูกสัมพันธ์กับเขาค่ะ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้จูบกัน เพราะในเวลานั้นการจูบไม่ใช่วิธีแสดงความรักในอาณาจักรบาบิโลนค่ะ พูดง่ายๆ ก็คือเจ้ามิสเซิลโทเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของคนโสดที่รอคอยความรักนั่นเอง
ช่อมิสเซิลโท
(via: pinterest.com)
สำหรับตำนานนอร์ส เราพบว่าชาวนอร์สมีประเพณีและตำนานเกี่ยวกับมิสเซิลโทมากมาย ธรรมเนียมอย่างหนึ่งก็คือมิสเซิลโทเป็นพืชแห่งสันติสุข เพราะงั้นเมื่อศัตรูพบว่าตัวเองอยู่ใต้มิสเซิลโท พวกเขาจำเป็นต้นหยุดการสู้รบเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน ในที่สุดธรรมเนียมนี้ก็ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นธรรมเนียมการแขวนมิสเซิลโทไว้หน้าประตูบ้านเพื่อความสงบสุขและความโชคดีค่ะ
จากธรรมเนียมการแขวนมิสเซิลโทเพื่อนำความโชคดีและความสงบสุขมาสู่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน มิสเซิลโทจึงเริ่มเกี่ยวข้องกับเทศกาลคริสต์มาสมากขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น มิสเซิลโทยังถูกแขวนในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วย โดยเจ้าของบ้านจะนำมิสเซิลโทต้นเก่าออกไป (ของเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง) และแขวนต้นใหม่แทน เชื่อกันว่าจะทำให้คนที่อยู่ในบ้านโชคดีตลอดทั้งปีจ้า
ที่ประเทศอังกฤษเองก็มีตำนานมิสเซิลโทเหมือนกัน สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของประเพณีจูบใต้ต้นมิสเซิลโทที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย เรื่องมีอยู่ว่าในช่วงศตวรรษที่ 18 มีการนำมิสเซิลโทมาทำเป็นช่อๆ เรียกว่า “ช่อมิสเซิลโท” และแขวนไว้เพื่อเป็นของตกแต่งประจำเทศกาลคริสต์มาส เมื่อไหร่ก็ตามที่คู่รักพบว่าตัวเองยืนอยู่ใต้ช่อมิสเซิลโทที่เต็มไปด้วยเมล็ดสีขาว (หรือแดง) พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้จูบกัน โดยแต่ละจูบต้องแลกด้วยลูกไม้มิสเซิลโทหนึ่งลูก พูดง่ายๆ ก็คือก่อนจูบกัน 1 ครั้งต้องเด็ดลูกมิสเซิลโทออกไป 1 ลูกนั่นเองค่ะ
ทันทีที่ช่อมิสเซิลโทไม่มีผลแล้ว “ความโชคดี” ในเรื่องความรักและการแต่งงานก็จะหายไป ตามธรรมเนียมเชื่อว่าการจูบใต้ช่อมิสเซิลโทจะทำให้คู่รักมีชีวิตคู่ที่ยืนยาว มีความสุขและมีความสุข ซึ่งถ้ามีคู่รักมาจูบกันใต้ช่อมิสเซิลโทไร้ผล มันจึงกลายเป็นเรื่องโชคร้ายแทนที่จะโชคดีเหมือนก่อนค่ะ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่าช่อมิสเซิลโทจะปรากฏเมื่อพบคู่ที่มีความรักต่อกัน, คู่ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคู่รักในอนาคต และผู้ที่เป็นที่เป็นเนื้อคู่กัน เมื่อใดก็ตามที่หนุ่มสาวติดอยู่ใต้ช่อมิสเซิลโท พวกเขาจะไม่สามารถขยับไปไหนได้จนกว่าเวทมนต์จะเสื่อมลง ไม่อย่างนั้นก็ต้องคิสกันใต้ช่อมิสเซิลโทค่ะ
มิสเซิลโทในตำนานนอร์ส
อีกหนึ่งตำนานเกี่ยวกับมิสเซิลโทของชาวนอร์สก็คือ มิสเซิลโทมีพลังอำนาจในการชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าคืนหนึ่งเทพเจ้าบัลเดอร์และเทวีฟริกกา แม่ของเขาต่างก็ฝันเห็นว่าบัลเดอร์จะตาย ฟริกกาจึงไปขอพรกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ทั้งมี่ชีวิตและไม่มีชีวิตเพื่อขอให้ลูกของตัวเองปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดทำร้ายได้นอกจากมิสเซิลโท เนื่องจากเธอคิดว่ามันเป็นแค่เถาไม้เล็กๆ ดูไร้พิษสง หลังจากนั้นเหล่าทวยเทพจึงพากันทดสอบด้วยการนำอาวุธต่างๆ ขว้างปาใส่เทพบัลเดอร์ ผลปรากฏว่าเขาปลอดภัย ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
วันหนึ่งเทพโลกิปลอมเป็นหญิงชราไปหลอกถามฟริกกาว่าอะไรสามารถทำร้ายบัลเดอร์ได้ พอได้คำตอบ โลกิก็วางอุบายจัดกิจกรรมยิงธนูบนสวรรค์และสร้างศรด้วยกิ่งมิสเซิลโท และยังไปขอให้แทพโฮเดอร์ผู้ตาบอดมาเข้าร่วมด้วย โดยเขาจะเป็นคนบอกเป้าหมายเอง เมื่อการแข่งขันมาถึง โลกิจงใจบอกเป้าหมายเป็นเทพบัลเดอร์ ทันใดนั้นศรมิสเซิลโทก็ยิงทะลุหัวใจของบัลเดอร์และเสียชีวิตทันที
หลังจากนั้นสามวันถัดมา สรรพสิ่งบนโลกก็พยายามทำให้บัลเดอร์ฟื้นคืนชีพแต่ก็ไม่เป็นผล ฟริกกาเสียใจมากจึงร้องไห้และหลั่งน้ำตาออกมาทำให้ผลมิสเซิลโทเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาว บัลเดอร์จึงฟื้นคืนชีพค่ะ ฟริกกาจึงจูบทุกคนที่เดินมาอยู่ใต้ต้นมิสเซิลโทเพื่อแสดงความขอบคุณ
เทพบัลเดอร์โดยศรมิสเซิลโทปักกลางหัวใจ
(via: norse-mythology.org)
ศาสนาดรูอิดกับมิสเซิลโท
ทางฝั่งเคลท์เองก็มีเหมือนกัน ผู้ที่นับถือศาสนาดรูอิด (Druid) ซึ่งเป็นลัทธินับถือเทพเจ้าของชาวเคลติกถือว่ามิสเซิลโทเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันชื่อ Pliny the Elder อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับมิสเซิลโทไว้ว่ามันเป็นพืชหายาก โดยเฉพาะมิสเซิลโทที่มีผลเป็นสีขาว ชาวดรูอิดเชื่อว่าเมล็ดสีขาวของมิสเซิลโทที่เติบโตบนต้นโอ๊คคือส่วนหนึ่งของเทพเจ้า ดังนั้นมิสเซิลโทจึงเป็นทั้งเครื่องรางนำโชค เป็นสัญลักษณ์ของความรักและมิตรภาพ รวมไปถึงขับไล่วิญญาณร้ายด้วยค่ะ
ความศักดิ์สิทธิ์ของมิสเซิลโทไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในพิธีการทางศาสนา นักบวชชาวดรูอิดยังประดับมิสเซิลโทไว้ที่เสื้อคลุมของตัวเองขณะทำพิธีต่างๆ เช่นบูชาเทพเจ้า เป็นต้น นอกจากนี้ชาวดรูอิดยังเชื่อว่ายาที่สกัดจากผลมิสเซิลโทจะช่วยให้สัตว์เรื่องการเจริญพันธุ์ของสัตว์และยังเป็นยาต้านพิษอีกด้วย อะไรจะเพอร์เฟคท์เบอร์นี้
เทพบัลเดอร์โดยศรมิสเซิลโทปักกลางหัวใจ
(via: bjws)
มิสเซิลโททำนายรัก
น้องๆ รู้มั้ยคะว่าก่อนที่ศาสนาคริสต์จะแพร่หลายในประเทศอังกฤษ คนอังกฤษเขาเป็นชนเผ่าดรูอิดที่นับถือธรรมชาติมาก่อน (ปัจจุบันอังกฤษบัญญัติให้ลัทธิดรูอิดเป็นศาสนาแล้วจ้า) หลังจากนั้นจึงมีการห้ามไม่ให้แขวนช่อมิสเซิลโทไว้หน้าบ้าน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีธรรมเนียมที่แพร่หลายเกี่ยวกับมิสเซิลโท นั่นคือ หญิงสาวบริสุทธิ์แต่ละคนจะได้รับช่อมิสเซิลโทเพื่อวางไว้ใต้หมอนในตอนนอนกลางคืน จากนั้นพวกเธอก็จะฝันถึงชายหนุ่มที่พวกเธอต้องการแต่งงานด้วยในอนาคต
เช้าวันถัดมาเหล่าสาวๆ จะเผามิสเซิลโทเพื่อทำนายถึงชีวิตรักในอนาคต ถ้าเกิดมีเสียงปะทุขณะเผามิสเซิลโท หมายความว่าชีวิตหลังแต่งงานของเธอจะไม่มีความสุขหากเธอแต่งงานกับชายที่เธอฝันถึง แต่ถ้าไม่มีเสียงปะทุของไฟขณะเผาช่อมิสเซิลโท ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ เพราะพวกเธอจะมีชีวิตรักที่แฮปปี้เอนดิ้งเหมือนการ์ตูนดิสนี่ย์ถ้าหากเธอแต่งงานกับคนที่เธอฝันถึงค่ะ เก๋ไก๋ไปอีก
ต้นมิสเซิลโท
(via : pixabay.com)
เป็นยังไงบ้างคะกับเรื่องเล่าของจูบใต้ต้นมิสเซิลโทที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ หวังว่าจะช่วยน้องๆ คลายข้อสงสัยได้นะคะ แม้ว่ามิสเซิลโทจะเป็นกาฝาก แต่ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของหลายๆ อย่างเช่นความสงบสุข ความโชคดีและความรัก
ซึ่งความโรแมนติกของการจุ๊บใต้ต้นมิสเซิลโทไม่ได้มีแค่ในชีวิตจริงนะคะ แต่ยังพบในนิยายหลายๆ เรื่องรวมไปถึงเพลงยอดฮิตของจัสติน บีเบอร์อย่าง “Mistletoe” ด้วย มันจะมีท่อนนึงที่ร้องว่า “Kiss me underneath the mistletoe (จูบผมใต้ต้นมิสเซิลโทสิ)” โดยการ Kisses under the mistletoe เนี่ยใช้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าคนสองคนที่จุ๊บกันใต้ต้นนี้จะได้คบกันค่ะ! โรแมนติกสุดๆ ไปเลย เอาเป็นว่าถ้าน้องๆ คนไหนไม่รู้จะเขียนนิยายยังไงให้คนอ่านประทับใจ ลองหยิบมิสเซิลโทมาเป็นส่วนประกอบในนิยายของเราดูก็ได้นะคะ
สำหรับวันนี้พี่น้ำผึ้งขอลาไปพร้อมกับเพลงเพราะๆ จากจัสติน บีเบอร์
ส่วนครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น รอติดตามเลยค่า
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://ed.ted.com/lessons/why-do-we-kiss-under-mistletoe-carlos-reif
http://www.todayifoundout.com
http://www.worldofchristmas.net
http://www.thewhitegoddess.co.uk
http://www.history.com
4 ความคิดเห็น
สุดยอดเลยครับ เปิดโลกทัศน์มากๆ
เราพึ่งแต่งฟิคเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเอง -> [ FIC - INAZUMA ] Kiss You Under Mistletoe
เป็นบทความที่ดีและมีประโยชน์กับเรามากๆเลยค่ะ
คิดถึงเรื่อง Harry Potter มาก่อนเลย 55