ใจสู้ไหมบอกมา! เตรียมหลอนไปพร้อมกับ 5 ตำราเวทมนตร์ที่ดาร์คที่สุดในโลก!


ใจสู้ไหมบอกมา! เตรียมหลอนไปพร้อมกับ
5 ตำราเวทมนตร์ที่ดาร์คที่สุดในโลก  

 
สวัสดีค่ะ ชาวนักเขียนนักอ่านเด็กดีทุกคน ชื่อหัวข้อก็บอกแล้วว่า เตรียมไม้กายสิทธิ์ให้พร้อม ตามนั้นเลยค่ะ เพราะวันนี้แอดมินจะมาชวนคุยเรื่อง “ตำราเวทมนตร์” กัน  
 
ถ้าพูดถึงตำราเวทมนตร์ นึกถึงอะไรกันคะ แอดมินนี่นึกถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ก่อนเลย แต่ว่าจะว่าไปแล้ว คาถาต่างๆ ในเรื่องแฮร์รี่ ก็ไม่ได้เป็นคาถาที่รุนแรงอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นคาถาพื้นฐานง่ายๆ มากกว่า ผิดกับคาถาในตำราทั้งห้าเล่มที่แอดมินกำลังจะหยิบมาพูดคุยกันด้านล่างนี้เลยค่ะ ล้วนแต่เป็นคาถาที่น่ากลัว ดาร์คและชวนให้นึกถึงมนตร์ดำอะไรทำนองนั้นเลยทีเดียว 
 
ชวนมาทำความรู้จักตำราเวทมนตร์สายดาร์คกันดีกว่าค่ะ ดูซิ ห้าเล่มนี้จะดาร์คแค่ไหน หลอนแค่ไหน และเนื้อหาจะชวนน่าตื่นเต้นขนาดไหน  
 

 
นีโครโนมิคอน (Necronomicon) 
ตำราเวทมนตร์นี้เป็นของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์ แม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่า... มันเป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อแบบเอาจริงเอาจังว่า... ข้อมูลของเลิฟคราฟท์น่าจะผ่านการรวบรวมจากตำนานต่างๆ ทั่วโลก ตำนานนีโครโนมิคอน ปรากฏครั้งแรกในเรื่องสั้น The Nameless City เลิฟคราฟท์ได้อ้างคำพูดของตัวละคร อับดุล อัลฮาเซรด ซึ่งเป็นผู้แต่งเอาไว้ โดยเขียนถึงพิธีกรรมที่ใช้อัญเชิญเอาไว้อย่างละเอียด ต่อมาได้มีนักประพันธ์หลายๆ คน ได้อ้างถึง นีโครโนมิคอนในงานเขียนของตน ซึ่งเลิฟคราฟท์สนับสนุนเต็มที่ จนทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าตำราเล่มนี้มีจริง หลังจากเลิฟคราฟ์เสียชีวิต สนพ. ต่างๆ ได้ตีพิมพ์หนังสือโดยใช้ชื่อนีโครโนมิคอนเป็นจำนวนมาก เป็นการตอกย้ำความสมจริงของหนังสือเล่มนี้ให้มากขึ้น 
 
เลิฟคราฟท์อธิบายว่าได้ชื่อ นีโครโนมิคอน มาจากความฝัน เป็นภาษากรีกหมายถึง “ภาพแห่งกฎมรณะ” เมื่อนำมาแปล ได้มีการใช้ชื่อว่า "ตำราแห่งนามมรณะ" "ตำราแห่งกฎมรณะ" และ "ผู้รู้กฎมรณะ" เจ้าตัวยังคงยืนกรานว่า... ตำราเล่มนี้เกิดจากจินตนาการของตัวเองล้วนๆ เนื้อเรื่องเล่าถึง อับดุล อัลฮาเซรด หรือ “อาหรับวิปลาส” ผู้เขียนตำรา นีโครโนมิคอน อัลฮาเซรดมาจากซานาในเยเมน และเคยไปเยือนซากโบราณแห่งบาบิโลน เขาได้ค้นพบนครไร้นามใต้ไอเรม ทะเลทรายของอาหรับ ต่อมา อัลฮาเซรดเขียนตำราอัล อาซิฟ ขึ้น ก่อนจะถูกอสูรกายฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ตำราของอัลฮาเซรดได้รับความสนใจอย่างมาก และถูกนำไปแปลเป็นภาษากรีกในนาม นีโครโนมิคอน เมื่อมันแพร่หลายออกไป ก็มีผู้คนจำนวนมากทดลองกระทำตามข้อเขียนในตำรา จนกระทั่งพระสังฆราชไมเคิลที่หนึ่งต้องประกาศให้มันเป็นหนังสือต้องห้ามและเผาทำลาย แต่ก็ยังมีคนแอบส่งต่อและอ่านอย่างลับๆ เรื่อยมา สำเนาของนีโครโนมิคอนฉบับดั้งเดิม มีเก็บไว้ตามสถาบันต่างๆ เพียงห้าเล่มทั่วโลก ส่วนอัล อาซิฟ ฉบับภาษาอาหรับได้สูญหายไป 
 
ในส่วนของเนื้อหาที่ปรากฏในนีโครโนมิคอน ไม่ได้มีการพูดถึงมากนักว่าเขียนเกี่ยวกับอะไร แต่ได้มีการยกข้อความของอัลฮาเซรดผู้เขียนที่บอกไว้ว่า... “สิ่งนั้นมิได้ตายและจักอยู่ไปชั่วกาล เมื่อเวลาอันพิกลเปลี่ยนผ่าน มัจจุราชก็จักมรณา” ว่ากันว่าหนังสือตีพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีดำ ปกทำจากหนังสัตว์ต่างๆ สันจับเป็นโลหะ มีทั้งของจริงและของปลอม และแน่นอนว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับซาตานและมนต์ดำ 
 

 
คู่มือเวทมนตร์ปีศาจ (The Munich Manual of Demonic Magic) 
ตำรามนต์ดำที่เชื่อกันว่า... จะทำให้เรามองเห็นกองทัพของศัตรูได้ และสามารถประเมินข้าศึกได้จนได้รับชัยชนะ เชื่อว่าตีพิมพ์ในช่วงศตวรรษที่ 15 และมีต้นกำเนิดจากประเทศเยอรมัน จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้แต่งเป็นใคร และตำรานี้ก็ถูกเรียกว่าเป็นตำราของปีศาจ ภายในเล่มเขียนถึงวิธีการรับมือกับปีศาจจำนวนมาก และยังพูดถึงวิธีการเรียกปีศาจ หรือการปลุกคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนชีพ แบ่งออกเป็นสามส่วนหลักๆ ได้แก่ กลลวงตา, จิตวิทยา และทำนายดวงชะตา กลลวงตาจะเป็นคาถาหลอกลวงให้เห็นภาพลวงตา จิตวิทยา จะสร้างความปั่นป่วน หรือครอบงำจิตใจผู้คน ส่วนทำนายดวงชะตา ทำให้ผู้ศึกษารู้อดีตและอนาคต ในการจะร่ายคาถา หลายครั้งผู้ใช้เวทย์จะต้องยอมสละอะไรบางอย่าง และอาจจะต้องเข้าสู่ฝ่ายมนต์ดำ ต้นฉบับของตำรานี้อยู่ที่ ห้องสมุดบาวาเรียนสเตท มิวนิก เยอรมนี 
 

 
ข้อเขียนวอยนิช (The Voynich Manuscript)
ปี ค.ศ. 1912 วิลฟริด วอยนิช บังเอิญซื้อหนังสือเก่าแก่โบราณเล่มหนึ่งและหลังจากนั้น เขาก็หลงอยู่กับมัน เอาแต่นั่งถอดรหัสข้อความที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันเขียนด้วยภาษาอะไร และวิธีการเขียนก็แปลกประหลาด แทนที่จะให้คำตอบ กลับทำให้ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม ประวัติที่มาของหนังสือ ไม่ชัดเจน เมื่อตรวจสอบย้อนกลับไป พบว่าผู้ครอบครองข้อเขียนวอยนิชคนแรกที่สืบค้นได้คือ จอร์จ บาเรสช์ นักเล่นแร่แปรธาตุที่อาศัยในเมืองปรากช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และทิ้งมันไว้ในห้องสมุดส่วนตัวโดยไม่ได้แตะต้อง จนกระทั่งต่อมา บาเรสช์ได้ส่งตัวอย่างบางส่วนของหนังสือไปให้กับ อธานาเซียส คิรเชอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แห่งโรม และนั่นเองคือหลักฐานการปรากฏตัวครั้งแรกของหนังสือเล่มนี้ 
 
คริเชอร์อยากได้หนังสือ แต่บาเรสช์ปฏิเสธคำขอของเขา หลังบาเรสช์เสียชีวิต หนังสือจึงตกมาถึงคริเชอร์ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถถอดรหัสได้ ความเคลื่อนไหวของหนังสือก็ค่อยๆ เงียบไป เชื่อกันว่าหนังสือถูกเก็บรักษาไว้ที่วิทยาลัยโรมาโน จนกระทั่งพระเจ้าวิคเตอร์เอ็มมานูเอลที่สองแห่งอิตาลีเข้ายึดเมือง และยึดทรัพย์สินต่างๆ ศาสนจักรจึงแอบขนย้ายตำราต่างๆ ไปซ่อนไว้ในห้องสมุดส่วนตัวของอธิการ ซึ่งหนึ่งในหนังสือเหล่านั้นก็คือข้อเขียนวอยนิช ต่อมาเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ วิทยาลัยโรมาโนก็ประสบปัญหาด้านการเงิน จนต้องขายตำราต่างๆ และนี่เองคือเหตุผลที่ข้อเขียนวอยนิชตกมาถึงมือของ วิลฟริด วอยนิช
 
นักรหัสวิทยาและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากได้ทดลองอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่ไม่เคยมีใครแปลเนื้อหาได้แม้แต่ส่วนเดียว ทำให้ข้อเขียนวอยนิชมีชื่อเสียงอย่างมาก เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบันทึกเรื่องลึกลับ ข้อเขียนวอยนิชในปัจจุบันมีทั้งหมด 240 หน้า ข้อความและลายเส้นเขียนด้วยปากกาขนนก ภาพประกอบระบายสีไว้หยาบๆ เชื่อกันว่า... น่าจะถูกเพิ่มเติมในภายหลัง และบันทึกที่ปรากฏในปัจจุบัน แตกต่างจากบันทึกต้นฉบับมาก ข้อความในหนังสือเขียนจากซ้ายไปขวา ไม่มีเครื่องหมายวรรคตอน อักขระมีอยู่มากมายหลากหลายจนไม่สามารถระบุได้ อย่างไรก็ตาม ก็มีลักษณะที่บ่งบอกว่า ข้อความนี้มีกฎไวยากรณ์ของตัวเองอยู่ นักภาษาศาสตร์เชื่อว่า ลักษณะของคำเหมือนข้อความภาษาอังกฤษและละตินนี่เอง ภายในแบ่งออกเป็นหลายหมวด มีทั้งชีววิทยา พฤกษศาสตร์ ดาราศาสตร์  จักรวาลวิทยา เวชศาสตร์ สูตร ฯลฯ    
 
จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครถอดรหัสความหมายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ได้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนถึงกับเชื่อว่ามันอาจเป็นตำราที่เขียนโดยมนุษย์ต่างดาว นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ทดสอบดูว่า... ตำรานี้เป็นของปลอมหรือเขียนกันเล่นๆ หรือเปล่า แต่ก็พบว่าไม่ใช่ มันคือของจริง และทุกคนก็ได้แต่รอว่า... จะมีคนสามารถถอดรหัสได้ จะได้เข้าใจความหมายที่อยู่ในหนังสือเสียที
 

 
คัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจ (The Codex Gigas)
หนังสือเล่มนี้เขียนด้วยลายมือโบราณ เชื่อกันว่าน่าจะเขียนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในประเทศโบฮีเนีย (ปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเชค) หนังสือถูกเก็บรักษาไว้ในโบสถ์อย่างดี จนกระทั่งกองทัพสวีเดนเข้าบุก และปล้นข้าวของไปจนหมด หนังสือเล่มนี้จึงย้ายไปอยู่ที่หอสมุดนานาชาติประเทศสวีเดนในที่สุด ตัวคัมภีร์ถูกเก็บรักษาไว้ในหีบไม้ ปกเป็นหนังสัตว์ ประดับเครื่องประดับโลหะ หนังสือมีขนาดใหญ่จนได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักมากถึง 75 กิโลกรัม เนื้อหาจารึกด้วยลายมือ วัสดุคือหนังลูกวัวและหนังลามากกว่า 160 ตัว เชื่อกันว่าต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 320 แผ่น แต่ถูกฉีกออกไป 8 แผ่น ซึ่งก็ยังคงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ฉีกออกไปและเนื้อหาที่หายไปคืออะไร ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนเป็นใคร แต่ได้มีข้อสันนิษฐานที่เชื่อว่า ผู้เขียนน่าจะเป็นนักบวชนอกรีตที่ขายวิญญาณให้ซาตาน และเขียนหนังสือเล่มนี้ภายในเวลาหนึ่งคืน แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาอย่างละเอียดมั่นใจว่าคัมภีร์เล่มนี้น่าจะใช้เวลาเขียนไม่ต่ำกว่า 20 ปี ตามตำนานเล่าว่า มีนักบวชผู้หนึ่งถูกจองจำในคุกที่มืดมิด ทางเดียวที่จะได้รับการไถ่โทษคือ จะต้องเขียนหนังสือยกย่องคริสต์ศาสนา และรวบรวมภูมิรู้ทั้งปวงของมวลมนุษยชาติให้เสร็จภายในเวลาหนึ่งคืน นักบวชกลัวว่าจะเขียนหนังสือได้ไม่ทันเวลา จึงสวดภาวนา น่าเสียดายแทนที่คำวิงวอนจะดังไปถึงพระเจ้า มันกลับไปเข้าหูซาตาน ซาตานได้ให้ความช่วยเหลือนักบวช ทำให้เขาเขียนคัมภีร์เสร็จภายในหนึ่งคืน แทนที่คัมภีร์นี้จะถูกเรียกว่าไบเบิ้ลมันจึงกลายเป็นไบเบิ้ลของปีศาจ ตามตำนานยังเชื่อว่านักบวชเป็นผู้ฉีกหน้าคัมภีร์ 8 แผ่นออกไปเพราะสำนึกในบุญคุณของซาตาน เพราะเนื้อหาที่ปรากฏใน 8 หน้านั้นเป็นคาถาในการไล่ภูติผีปีศาจ 
 
เนื้อหาในคัมภีร์เล่มนี้ มีทั้งรูปภาพของซาตาน ที่เชื่อกันว่านักบวชได้วาดเพื่อขอบคุณที่ได้ช่วยให้เขาทำงานเสร็จตามเวลา มีเนื้อหาเรื่องมนต์ดำของปีศาจ มนต์คาถาเพื่อการรักษา ฯลฯ ลายมือที่เขียนนั้นสวยงามมีเอกลักษณ์ เขียนด้วยหมึกหลากสี แดง น้ำเงิน เหลือง เขียว และทอง ตัวอักษรมีขนาดใหญ่สวยงาม แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่า หนังสือเล่มนี้มีที่มาจากไหน และมันได้รับการโหวตให้เป็นหนังสือที่ลึกลับที่สุดในโลก   
 

 
ตำราเวทย์โบราณแห่งมังกรแดง (The Grand Grimoire of The Red Dragon)
หนึ่งในตำราที่ได้ชื่อว่า น่ากลัวและสยดสยองที่สุดที่เคยปรากฏมา บางคนก็เรียกสั้นๆ ว่าตำรามังกรแดง ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องพระเจ้าโซโลม่อนอย่างลึกซึ้ง คาถาหลายๆ บทเคยผ่านการใช้งานโดยพระเจ้าโซโลม่อนมาแล้ว มีข่าวลือเกี่ยวกับหนังสือมากมาย และทุกวันนี้เชื่อว่ามันถูกเก็บรักษาอยู่ที่นครวาติกัน ตัวหนังสือประกอบด้วยเนื้อหาหลากหลายส่วน แน่นอนว่าล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำ ปีศาจ การเอาตัวรอดจากปีศาจ คาถาสะกดปีศาจ อาวุธที่ใช้ต่อกรกับปีศาจ การต่อรองกับปีศาจ ฯลฯ และในตำราได้เตือนไว้ด้วยว่า ผู้ใช้คาถาจะต้องแลกบางสิ่งบางอย่างกับสิ่งที่ต้องการ 
 
ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของหนังสือคงเป็นเรื่องของการต่อรองกับลูซิเฟอร์ หรือราชาปีศาจ มันให้คำแนะนำการเรียกลูซิเฟอร์มาพบ เพื่อใช้งานราชาปีศาจแห่งนรก แต่ขณะเดียวกัน มันก็บอกสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนเอาไว้ด้วย และคงเพราะเนื้อหาในหนังสือน่ากลัวขนาดนี้ มันถึงต้องถูกเก็บรักษาไว้ที่นครวาติกันอย่างดี    
 
ทีมงานนักเขียนเด็กดี
 
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
https://www.grimoire.org/grimoire/munich-manual/  
https://en.wikipedia.org/wiki/Voynich_manuscript   
https://bookriot.com/2015/07/15/10-things-know-devils-bible/  
https://aminoapps.com/c/paranormal/page/blog/grand-grimoire-the-red-dragon-gospel-of-satan/r0jx_gKGIeuqnoggYbwMKxYqzqLd7bGpYv
https://bookstr.com/5-dark-magic-books-straight-hell 
 
ทีมงาน writer

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด