ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ โวลเดอมอร์ VS. ฮิตเลอร์ เหมือนกันยิ่งกว่าแฝด

 

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

โวลเดอมอร์ VS. ฮิตเลอร์

เหมือนกันยิ่งกว่าแฝด


 

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน ในฐานะที่เป็นนักเขียน พี่น้ำผึ้งกล้าพูดเลยว่านักเขียนส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจเพื่อสร้างสรรค์นิยายจากโลกรอบตัวของพวกเขา ชัดเจนเลยว่านิยายหรือวรรณกรรมของนักเขียนชื่อดังหลายคนเองก็เป็นเช่นกัน รวมถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ของเจ.เค.โรว์ลิ่งด้วย

หากตั้งใจสังเกตดูดีๆ จะพบว่าเรื่องราวของโวลเดอมอร์นั้นคล้ายคลึงกับเรื่องของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำที่สร้างความสะพรึงให้แก่โลกใบนี้ไม่มีผิด โวลเดอมอร์ จอมเผด็จการชั่วร้ายวางแผนยึดครองโลก เขาปรารถนาที่จะให้โลกใบนี้มีแต่เหล่าเลือดบริสุทธิ์ ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นๆ โดยเฉพาะเหล่ามักเกิ้ลจะต้องถูกทรมานและถูกทำลายล้างแม้ว่าตัวเองจะเป็นเลือดผสมก็ตาม! คุ้นๆ ไหมคะ? เหมือนกับเรื่องของฮิตเลอร์แห่งนาซีราวกับแกะเลยเนอะ เอาล่ะ เกริ่นมาซะขนาดนี้แล้ว วันนี้พี่ขอชวนน้องๆ มาดูความเหมือนบนความแตกต่างของโวลเดอมอร์ VS ฮิตเลอร์ค่ะทุกคน

 



 

โวลเดอมอร์ นักเผด็จการในอุดมคติ

ก่อนที่จะบอกว่า “โวลเดอมอร์” คือนักเผด็จการในอุดมคติได้ เราต้องมาทำความรู้จักกับหนึ่งในนักเผด็จการที่มีชื่นเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ก่อน ทำไมต้องฮิตเลอร์? นิสัยอะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ?

สำหรับฮิตเลอร์ ชีวิตและบุคลิกของเขาคือบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ ฮิตเลอร์มีชีวิตในวัยเยาว์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่เต็มไปด้วยความยากจน การล่วงละเมิดและถูกทารุณกรรม ขณะที่ชาวยิวนั้นกลับมีชีวิตที่ตรงข้ามกับ ทั้งหมดหล่อหลอมให้เขาไม่พอใจชาวยิวตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นเป็นวัยรุ่นหน่อย เขาได้อ่านหนังสือหลายเล่มที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มอคติที่มีต่อชาวยิว วันเวลาผ่านไป อคติที่มีต่อชาวยิวก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าฮิตเลอร์จะแตกต่างจากโวลเดอมอร์ตรงที่ฮิตเลอร์ไม่ใช่นักพูดที่ดีนัก แต่สุนทรพจน์ที่น่าทึ่งของเขาเป็นสิ่งที่ชักจูงให้มวลชนพากันเข้าร่วมฝั่งของเขาได้

ในโลกแฮร์รี่ พอตเตอร์ เจ.เค.โรว์ลิ่งสร้างตัวละครฮิตเลอร์ของเธอผ่านคาแร็กเตอร์โวลเดอมอร์ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองแบบเผด็จการหรือสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เธอสามารถแสดงให้เราเห็นว่าอะไรเป็นตัวขับเคลื่อนความเผด็จการของฮิตเลอร์ รวมทั้งวิธีที่ช่วยให้ฮิตเลอร์สามารถบรรลุเป้าหมาย ในความเป็นจริงแม้ว่าสองคนนี้จะแตกต่างกัน แต่ก็มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเชื่อ

 


อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
(via: History on the Net)

 

ชีวิตวัยเด็ก จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง

สิ่งที่หล่อหลอมให้พวกเราเติบโตมาเป็นพวกเราในทุกวันนี้จะเป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจาก “สภาพแวดล้อม” สำหรับฮิตเลอร์และโวลเดอมอร์ พวกเขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกัน ซึ่งมันมีอิทธิพลอย่างมากต่อบุคลิกภาพ ค่านิยมและความเชื่อ ตัวอย่างเช่น หนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมฮิตเลอร์ถึงเกลียดพวกยิวเป็นเพราะเขาคิดว่าชาวยิวคือสาเหตุที่ทำให้เขาจนและไม่มีความสุข เขาเชื่อว่าพวกยิวควรมีส่วนรับผิดชอบต่อการสูญเสียของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและความรุนแรงของสนธิสัญญาแวร์ซาย

แม้ว่าทั้งสองจะได้รับการดูแลสมกับที่เป็นเด็ก แต่ทั้งฮิตเลอร์และโวลเดอมอร์ต่างก็มีวัยเด็กที่ไม่แฮปปี้เท่าไหร่นัก ฮิตเลอร์ถูกทารุณกรรมและอาศัยอยู่ในถิ่นยากจนที่ตั้งอยู่ในเขตชาวยิว ขณะที่โวลเดอมอร์นั้นเกิดและเติบโตขึ้นในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของมักเกิ้ล เขาคิดว่าตัวเองเหนือกว่าเด็กคนอื่นๆ ทว่าชีวิตที่นั้นไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจสำหรับโวลเดอมอร์ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งคู่ถึงเกลียดชังชาวยิวกับมักเกิ้ลได้ขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็กที่หล่อหลอมให้พวกเขาปรารถนาที่จะทำร้ายผู้อื่น

สิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความปรารถนาของโวลเดอมอร์ในการกำจัดพวกมักเกิ้ลคือ “ความรู้สึกเหนือกว่า” และ “ความโกรธ” ที่มีต่อเด็กมักเกิ้ล โวลเดอมอร์คิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษและมีพลังมากกว่าคนอื่นๆ เขาเชื่ออย่างแรงกล้าว่าแม้พวกมักเกิ้ลจะปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงคนไร้ค่า แต่เขาสมควรได้รับอำนาจที่เหนือกว่าเหล่ามักเกิ้ล ที่สำคัญโวลเดอมอร์ยังเหมือนฮิตเลอร์ตรงที่เขาอ่านหนังสือเพื่อให้ตัวเองมีอคติต่อพวกมักเกิ้ลมากขึ้น (กรณีนี้โวลเดอมอร์อ่านประวัติครอบครัวของเขา)

 


ทอม ริดเดิ้ลหรือโวลเดอมอร์ในวัยเด็ก

 

บุคลิกภาพที่เหมือนกันยิ่งกว่าแฝด

ชอบควบคุมคนอื่น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าลักษณะเด่นสำคัญของสองคนนี้คือ “ความสามารถในการควบคุมคนอื่น” ทั้งโวลเดอมอร์และฮิตเลอร์ต่างก็มีทักษะการโน้มน้าวใจที่ดีเยี่ยมและมีนิสัยที่เจ้าเล่ห์ นี่ไม่ใช่นิสัยที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มันเป็นนิสัยที่มีมาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกเขารู้ว่าจะทำยังไงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

ยกตัวอย่างเช่น ตอนเป็นเด็ก ฮิตเลอร์สามารถหลอกล่อให้แม่ของเขาเอาใจเขาได้ ทำนองเดียวกับโวลเดอมอร์ที่เป็นเด็กฉลาดและหยิ่งยโส เขาสามารถปรับเปลี่ยนอารมณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะโน้มน้าวคนอื่นให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ เขามักจะใช้เวทมนตร์โหดร้ายกับเด็กกำพร้าคนอื่นๆ เพื่อทำให้เด็กเหล่านั้นหวาดกลัว ดังนั้นพอโตขึ้นมาหน่อย โวลเดอมอร์ก็ชอบเล่นกับอารมณ์และปั่นหัวคนอื่นเพื่อทำให้พวกเขากลัว 

แต่เห็นร้ายเวอร์แบบนี้แล้ว โวลเดอมอร์ก็รู้จักการมีขอบเขตนะ อย่างเช่นตอนที่ดัมเบิลดอร์มาเยี่ยมเขา หลังจากที่รู้ว่าชายแก่คนนี้ไม่กลัวพลังของเขา โวลเดอมอร์ก็สุภาพขึ้นทันทีเพราะรู้ว่าชายผู้นี้เชื่อว่าตัวเองมีเวทมนตร์จริงๆ เช่นเดียวกับฮิตเลอร์ เขาเองก็มีขอบเขตในการใช้ความเจ้าเล่ห์ในการบงการคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาพ่ายแพ้และถูกจับตอนที่ก่อกบฏโรงเบียร์ 

 


ดัมเบิลดอร์และทอม ริดเดิ้ล

 

ชักจูงคนเก่ง

นอกจากนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายแล้ว อีกนิสัยหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “การชักจูงคน” พรสวรรค์นี้สำคัญมากๆ สำหรับการเรืองอำนาจของทั้งคู่ ตอนอายุ 22 ปี ฮิตเลอร์ใช้ความสามารถนี้ในการโน้มน้าวป้าที่เป็นง่อยของเขาเพื่อเงินก้อนใหญ่ และผลก็คือเงินออมทั้งชีวิตของป้าก็ตกมาอยู่ในมือของฮิตเลอร์ คล้ายคลึงกับโวลเดอมอร์สมัยวัยรุ่น เขาสามารถโน้มน้าวหญิงชรานามว่าเฮปซิบาห์ สมิทเจ้าของถ้วยฮัฟเฟิลพัฟและล็อกเก็ตสลิธิรินที่เขาต้องการทำมันเป็นฮอร์ครักซ์ แถมยังสามารถโน้มน้าวฮอเรซ ซลักฮอร์นให้เผยข้อมูลของฮอร์ครักซ์ได้ด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆ

นอกจากนี้ทั้งสองเผด็จการยังได้รับการสนับสนุนจากคนกลุ่มใหญ่ ทั้งคู่สามารถเล่นกับอารมณ์ของเหล่าสาธารณชนได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้กองหนุนมาเพิ่ม ยิ่งไปกว่านั้นฮิตเลอร์สามารถเล่นกับความโกรธของคนได้ กล่าวคือ เขาสามารถเปลี่ยนความโกรธและความไร้อำนาจของคนยากจนให้กลายเป็นพลัง เขาถูกมองว่าเป็นสัญญาณแห่งความหวังที่จะทำให้คนยากจนในประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่โวลเดอมอร์เล่นกับความกลัวของผู้คน เขาใช้ความสามารถนี้ในการฆ่าทุกคนที่เห็นต่างจากเขาและทำให้ทุกคนตัว แม้แต่กองทัพของตัวเองที่ไม่กล้าเห็นต่าง

 


ฮิตเลอร์กำลังขึ้นพูดต่อหน้าสาธารณะชน
(via: coms591zhukblog)

 

บ้าอำนาจ

แน่นอนว่าทั้งโวลเดอมอร์และฮิตเลอร์ต่างก็ใช้ความเจ้าเล่ห์เพื่อให้ตัวเองบรรลุสิ่งที่เรียกว่า “อำนาจ” นี่จึงเป็นส่วนที่แตกต่างระหว่างแฮร์รี่กับโวลเดอมอร์ บทเรียนสำคัญในชีวิตที่สอนให้เราได้รู้ว่า “อำนาจเป็นสิ่งอันตราย” แม้แต่ดัมเบิลดอร์ที่ฉลาดและมีเมตตายังไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกครอบงำด้วยอำนาจเลย เขาบอกแฮร์รี่และนักอ่านถึงเรื่องของการใช้อำนาจว่า
 

“มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจแฮร์รี่ แต่บางทีคนที่เหมาะกับการมีอำนาจมากที่สุดก็คือผู้ที่ไม่เคยแสวงหามัน คนที่เป็นแบบเธอ มีความเป็นผู้นำ คอยผลักดันและใช้มันเพราะพวกเขาต้องทำ ก่อนจะประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวเองสวมมันได้ดี”
 

สำหรับเรื่องนี้ เจ.เค.โรว์ลิ่งขีดเส้นแบ่งชัดเจนเลยว่าคนที่ต้องการพลังอำนาจเพื่อตัวเองกับคนที่มีอำนาจเพราะจำเป็นต้องมีนั้นแตกต่างกันยังไง  ในภาคภาคีนกฟินิกซ์ แฮร์รี่สวมบทเป็นผู้นำกองทัพดัมเบิลดอร์ ไม่ใช่เพราะเขาต้องการเป็น เเต่เป็นเพราะเขารู้ว่าคนอื่นๆ ต้องการความช่วยเหลือจากเขา

ในทางกลับกัน โวลเดอมอร์ใช้อำนาจเพื่อควบคุมโลกเวทมนตร์ให้เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เขาต้องการพลังไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนอื่น แต่เพื่อตัวเขาเอง ด้วยเหตุนี้โวลเดอมอร์จึงมีส่วนที่คล้ายกับฮิตเลอร์ตรงที่ฮิตเลอร์เองก็ต้องการอำนาจเพื่อตัวเอง เขาปรารถนาที่จะคว่ำรัฐบาลด้วยการประท้วงและสร้างระบบรัฐบาลใหม่ที่นำโดยเขา
 


อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ต้องการอำนาจเพื่อตัวเขาเอง
(via: Die Zeit)

 

ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าฮิตเลอร์จะโน้มน้าวคนอื่นๆ ว่าเขากำลังหาทางช่วยเหลือเยอรมนี แต่ก็เห็นได้ชัดว่าแรงผลักดันของเขานั้นมาจากความปรารถนาในอำนาจและความใฝ่ฝันส่วนตัว เขายังได้กล่าวอีกว่าพระเจ้าส่งเขามาเพื่อพลังอำนาจในการฆ่า “ผู้ที่ไม่คู่ควรแก่การมีชีวิต” 

ในฐานะของทายาทแห่งสลิธิรินและพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โวลเดอมอร์เชื่อว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะได้ปกครองโลกนี้ เจ.เค.โรว์ลิ่งยังเคยกล่าวในบทสัมภาษณ์เลยด้วยซ้ำว่า “โวลเดอมอร์คล้ายกับฮิตเลอร์แน่นอน” แถมยังเสริมต่ออีกว่าจริงๆ แล้วบุคลิกของคนเหล่านี้น่าสนใจ “มันก็เป็นส่วนหนึ่งของความหวาดระแวงของพวกเขานั่นแหละ ความปรารถนาที่จะให้ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น พวกเขามักจะพูดถึงแต่เรื่องชะตากรรมและโชคชะตา ฉันแค่อยากให้โวลเดอมอร์มีลักษณะหวาดระแวงเหล่านี้ด้วย

 


การกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้งของโวลเดอมอร์


 

การเถลิงอำนาจของโวลเดอมอร์

ต้องยอมรับเลยว่าเหตุการณ์ที่โวลเดอมอร์ปฏิวัติโลกเวทมนตร์นั้นคล้ายคลึงกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีผิด โวลเดอมอร์ใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดของคอร์นีเลียส ฟัดจ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์เพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจ อันที่จริงฟัดจ์เป็นตัวละครที่เจ.เค.โรว์ลิ่งได้ต้นแบบมาจากเนวิล เชมเบอร์ลิน นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

ฟัดจ์เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เราเห็นว่าการเป็นคนอ่อนแอและยึดติดในตำแหน่งจะนำหายนะมาสู่ตัวเอง เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าโวลเดอมอร์กลับมา แล้วกว่าจะรู้ตัว ตนก็สูญเสียตำแหน่งแถมนำภัยพิบัติมาสู่โลกแล้ว โวลเดอมอร์กลับมาทวงบัลลังก์อำนาจอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อโวลเดอมอร์กลับมีอำนาจอย่างเป็นทางการ เผด็จการก็เริ่มเปลี่ยนแปลงรัฐบาลให้เป็นไปตามที่ต้องการ ไม่ต่างจากฮิตเลอร์ที่ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีและปฏิวัติประเทศให้เป็นไปอย่างที่ตนต้องการ โดยเฉพาะแนวคิดล้างชาติอันนำมาสู่โศกนาฏกรรมยิ่งใหญ่ระดับโลก เฉกเช่นกับที่โวลเดอมอร์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มักเกิ้ลในโลกเวทมนตร์

 

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ ต้องพูดตรงๆ เลยว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และลอร์ด โวลเดอมอร์เกิดในโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งอยู่ในประวัติศาสตร์ เป็นแค่คนธรรมดาและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยปืน อีกหนึ่งอยู่ในวรรณกรรม มีเวทมนตร์และทำลายล้างโลกด้วยไม้กายสิทธิ์ ถึงจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกัน แต่ชีวิตของพวกเขารวมทั้งแนวคิดกลับคล้ายคลึงกันไม่มีผิด ไม่แน่นะบางทีเจ.เค.โรว์ลิ่งอาจกำลังจะบอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์โลกผ่านทางโลกเวทมนตร์อยู่ก็ได้ 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของทั้งฮิตเลอร์กับโวลเดอมอร์จะเป็นอะไร แต่พี่ก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินคุณค่าของคนด้วยอคติของตัวเอง เพราะอันที่จริงแล้วคนเราทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง พวกเขารู้ว่าตัวเองเกิดมาทำไมและเพื่ออะไร เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินว่าคนที่ต่างจากเรานั้นไร้ค่า ถ้าหากเราเปิดใจตัวเอง เราก็จะสามารถอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุขค่ะ 


 

พี่น้ำผึ้ง :)

 

ขอบคุณรูปภาพจากภาพยนตร์
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.aish.com/
http://www.the-leaky-cauldron.org
https://www.history.com/topics/world-war-ii/nazi-party\
https://www.youtube.com/watch?v=Ap3TLwoViJk
https://en.wikipedia.org/wiki/Adolf_Hitler
Adolf Hitler; his family, childhood, and youth

Deep Sound แสดงความรู้สึก

 
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด