Kingdom ซีซัน 2 : “ประเทศนี้จบสิ้นแล้ว เราจะตายกันหมด” เสียงประชาชนว่าด้วยเรื่องโรคระบาด การเมือง และความสิ้นหวัง

 

Kingdom ซีซัน 2 :
“ประเทศนี้จบสิ้นแล้ว เราจะตายกันหมด”
เสียงประชาชนว่าด้วยเรื่องโรคระบาด การเมือง และความสิ้นหวัง


สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน ก่อนหน้านี้พี่แนนนี่เพนตัดสินใจอยู่นานเลยค่ะว่าจะดูซีรีส์เรื่อง Kingdom ซีซัน 2 ที่ฉายทางช่อง NETFLIX ในวันแรกที่ออกอากาศเลยดีไหม แต่สุดท้ายพี่ก็ตัดสินใจดูซีรีส์เรื่องนี้หลังจากผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์ เพื่อพบว่าเราสามารถดูซีรีส์ที่รอคอยมานานกว่า 1 ปีจบได้ภายใน 1 วัน! ซึ่งใครที่มีเวลาว่างก็ดูกันไปยาวๆ เลยค่ะ ดูจบภายใน 5 ชั่วโมงแน่นอน หลังจากนั้นจะรู้สึกเหมือนเราเพิ่งไปวิ่งหนีซอมบี้และเพิ่งรอดตายกลับมาแบบคุณพระช่วยเลยค่ะ 

หลายคนที่ได้ดูซีรีส์เรื่อง Kingdom กันไปแล้ว ต้องแอบคิดเหมือนกันแน่ๆ ว่าประเด็นในเรื่อง ทั้งเรื่องการระบาดของเชื้อไวรัส ความอดอยากของประชาชน และปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ดูเหมือนจะคล้ายกับสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันราวกับล่วงรู้อนาคตกันเลยทีเดียว นอกเหนือจากประเด็นเหล่านี้แล้ว พี่แนนนี่เพนยังสนใจประเด็นเรื่อง “อำนาจกับประชาชน” ที่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน จนอยากนำเรื่องราวเหล่านี้มาถ่ายทอดเป็นบทเรียน “การเป็นประชาชนที่ไม่สิ้นหวัง” ให้ทุกคนได้เรียนรู้กันผ่านซีรีส์ Kingdom ในซีซันที่ 2 นี้กันค่ะ

บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาและภาพจากซีรีส์ Kingdom ซีซัน 2 ค่ะ

สรุป Kingdom ซีซัน 1-2 ฉบับรวบรัด : โรคระบาด และการแย่งชิงอำนาจที่ประชาชนเป็นผู้รับเคราะห์ 

Kingdom เป็นซีรีส์แนวระทึกขวัญสัญชาติเกาหลี ที่ฉายทางช่อง NETFLIX ไปเมื่อปี 2019 และเริ่มฉายซีซันสองในวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมานี้เองค่ะ เรื่องราวของ Kingdom ในซีซัน 2 เป็นเรื่องราวที่เล่าต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในซีซัน 1 ถึงขั้นที่ว่าเราสามารถยุบรวมเรื่อง Kingdom มาเป็นซีรีส์ในภาคเดียวกันได้เลยค่ะ โดยความเดิมจากซีซันแรก เราได้เห็นการคอรัปชันครั้งใหญ่ของกลุ่มขุนนางเก่าซึ่งไม่ยอมลงจากอำนาจ จนทำให้ประชาชนอดอยากและใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ซ้ำยังถูกโรคระบาดไร้ที่มาทำให้ประชาชนกลายเป็นซอมบี้ไล่ฆ่าผู้คนเพราะความหิวโหยอีกด้วย

ซึ่งความจริงแล้วเบื้องหลังของโรคระบาดก็มาจากการที่ขุนนางเก่านี่แหละค่ะที่พยายามรักษาอำนาจด้วยการวางแผนยืดระยะเวลาตายของพระราชาออกไป จนกว่าราชินีซึ่งเป็นบุตรสาวของขุนนางตระกูลใหญ่จะคลอดรัชทายาทออกมา แต่แผนการกลับไม่ได้ง่ายดายแบบที่พวกเขาคิดเลยค่ะ เมื่อรัชทายาทซึ่งเกิดจากราชินีองค์ก่อนต้องการสืบหาความจริงเรื่องข่าวลือการสวรรคตของพระราชา ทำให้องค์ชายได้ทราบแผนการของกลุ่มขุนนางเก่าที่ทำให้พระบิดากลายเป็นซอมบี้ และเป็นต้นเหตุของโรคระบาดที่เกิดขึ้น จากนั้นองค์รัชทายาทก็เข้าสู่สังเวียนการต่อสู้อย่างเต็มรูปแบบ องค์ชายต้องต่อสู้กับขุนนางผู้มากอำนาจ และปกป้องประชาชนจากกองทัพซอมบี้ฝูงใหญ่

เรื่องราวในซีซันแรกได้ทิ้งปมปริศนาเอาไว้มากมาย และคลี่คลายลงทันทีใน 3 ตอนแรกของซีซันที่สอง เรื่องราวหลังจากนั้นยังคงเป็นการต่อสู้กันของกลุ่มรัชทายาท และเหล่าขุนนางเก่า ซึ่งต่างก็มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ฝ่ายหนึ่งยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชน ส่วนอีกฝ่ายต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจ เราจะเห็นการสร้างข่าวลือ การปิดหูปิดตาประชาชน รวมถึงความยากลำบากของประชาชนที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องพึ่งพาผู้ปกครองเมือง ซึ่งในท้ายที่สุดบทสรุปของ Kingdom ในซีซัน 2 ก็ได้เผยเรื่องราวของ “อำนาจกับประชาชน” ออกมาอย่างชัดเจน แม้ว่าฝ่ายองค์รัชทายาทจะเป็นผู้ปกป้องประชาชน และยึดบัลลังก์จากขุนนางเก่ากลับมาได้สำเร็จ แต่ประชาชนที่ไม่รับรู้เรื่องราว เชื่อข่าวลือเรื่องรัชทายาทก่อกบฎและฆ่าบิดาของตน กลับมีส่วนทำให้รัชทายาทไม่อาจขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยชอบธรรม นี่จึงเป็นเรื่องราวของ Kingdom ที่ประชาชนคือศูนย์กลางของผู้ไขว่คว้าอำนาจอย่างแท้จริง 
 

“การเป็นประชาชนที่ไม่สิ้นหวัง” 

บทเรียน 01 : จงรับความช่วยเหลือเมื่อคุณควรได้รับ และจงรักในสัญชาตญาณของตัวคุณเอง 

ว่าด้วยเรื่อง อำนาจ 1 มื้ออาหารกับประชาชน 1 คน พี่แนนนี่เพนเคยอ่านบทความหนึ่งที่บอกว่า อำนาจที่เข้าถึงประชาชนมากที่สุดก็คืออำนาจเรื่องปากท้อง ตอนแรกพี่ก็ยังไม่เข้าใจ แต่ซีรีส์เรื่องนี้ช่วยขยายความให้เข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้วยเรื่องราวของ Kingdom เกิดขึ้นในยุคสมัยโชซอนของเกาหลีที่ประชาชนต้องเจอกับโรคระบาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งยังมีเรื่องของความอดอยากที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากชนชั้นปกครองมาอย่างยาวนาน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนถูกปลูกฝังเลี้ยงดูให้พึ่งพาชนชั้นปกครองจนเคยชิน แม้ว่าหน้าที่ของชนชั้นปกครองจะต้องดูแลประชาชนในอาณาจักรให้มีชีวิตที่ดีก็ตาม แต่การที่ประชาชนใช้ชีวิตเหมือนลูกนกเพื่อรอแม่นกมาป้อนอาหารให้ตลอดเวลานั้น กลับเป็นจุดที่ทำให้สัญชาตญาณของมนุษย์ถูกกดทับเอาไว้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาก็ไม่สามารถเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้

 ดังในซีรีส์ซีซันแรกที่ปรากฏภาพชนชั้นปกครองจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ และกินอาหารกันอย่างฟุ่มเฟือย ในขณะที่ประชาชนคนจนต้องกัดกินเนื้อกันเอง จนกลายเป็นซอมบี้ที่ไล่ฆ่าผู้คนแบบไม่เลือกหน้า จะเห็นว่า อาหารคือพระเจ้า ผู้ครอบครองสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการดำรงชีวิต ย่อมเป็นผู้มีอำนาจ และเมื่อประชาชนพูดคุยกันในซีซันที่ 2 ว่า 

“ประเทศนี้จบสิ้นแล้ว เราจะตายกันหมด” เหมือนกับกำลังคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไป แต่กลับเป็นคำพูดที่สะท้อนให้เห็นว่าประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ เป็นเพียงผืนแผ่นดินหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีการบริหารจัดการประเทศเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง และความตายที่พวกเขายอมจำนนนั้น สื่อให้เห็นว่าชีวิตของพวกเขาไม่สามารถดิ้นรนเอาตัวรอดได้อีกต่อไปแล้วนั่นเอง

ดังนั้น บทเรียนแรกที่จะทำให้เราเป็นประชาชนที่ไม่สิ้นหวัง ก็คือ การพึ่งพาตัวเองให้เป็นนิสัย แม้ว่าชนชั้นปกครองจะมีหน้าที่เพื่อประเทศและประชาชน แต่ว่าการพึ่งพาชนชั้นปกครองที่ดันห่วยแตก อาจจะเหมือนการฝากชีวิตไว้ในกำมือของศัตรูก็ได้ ฉะนั้น จงรับความช่วยเหลือเมื่อคุณควรได้รับ และจงรักในสัญชาตญาณของตัวคุณเอง 

บทเรียน 02 : อย่าให้ใครปิดหูปิดตาคุณได้เด็ดขาด 

บัดนี้ จงเปิดหูเปิดตาของพวกเจ้า รับฟังเสียงของราษฎร 
และมองภาพอันเศร้าสลดของแผ่นดินนี้ 
ถึงเวลาต้องเลือก หนทางที่ถูกต้องแล้ว

ประชาชน 1 คนอาจไม่มีความหมายกับชนชั้นปกครอง แต่ประชาชนที่อยู่รวมกัน คือ อำนาจที่ชนชั้นปกครองต้องการเป็นอย่างยิ่ง ตลอดการดำเนินเรื่องของซีรีส์จนถึงบทสรุปของซีซัน 2 สิ่งที่กลุ่มขุนนางเก่าปกปิด และกระจายข่าวลือออกมา ล้วนแสดงให้เห็นว่าประชาชนนั้นขาดการมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศเป็นอย่างมาก ผู้มีอำนาจสามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้ แบบที่ไม่มีใครไปนั่งคุ้ยหาความจริงว่าสิ่งไหนถูกหรือสิ่งไหนผิด ยกเว้นเพียงคนที่ได้รับความอยุติธรรมมาก่อนเท่านั้นที่จะมองเห็นว่ามีการใช้อำนาจในทางที่ผิด 

จากการต่อสู้ระหว่างองค์รัชทายาทและกลุ่มขุนนางเก่า สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ผู้มีอำนาจสามารถใส่ร้ายป้ายสีผู้คนได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าข่าวลือนั้นจะไม่เป็นความจริง แต่ด้วยอำนาจสามารถทำให้ผู้คนที่ไม่ได้ใกล้ชิดเรื่องราวเกิดความรู้สึกไขว้เขว และเอนเอียงไปทางข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงได้ ขณะที่ฝ่ายองค์รัชทายาทที่ไม่มีอำนาจ กลับต้องเป็นฝ่ายถูกข่าวลือทำให้เสียหาย และไม่สามารถแก้ต่างให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจได้ หลังจบการแย่งชิงอำนาจที่ยาวนาน แม้ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ ด้วยเพราะข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั่นเอง 

ในบทเรียนข้อนี้บทเรียนที่จะไม่ทำให้เราเป็นประชาชนที่สิ้นหวัง สิ่งที่เราได้เปรียบมากกว่าองค์รัชทายาทจากยุคโชซอน ก็คือ การรับรู้ข่าวสารที่รวดเร็ว และมีแหล่งข่าวที่สามารถสืบค้นได้ด้วยตนเอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีข่าวปลอมออกมาจำนวนมาก มีการใส่ร้ายป้ายสี และสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงมากมาย แต่เชื่อว่าด้วยวิจารณญาณของผู้คนในปัจจุบัน จะสามารถคัดกรองข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับตนเอง และไม่ถูกปิดหูปิดตาว่าเรากำลังอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์กันได้แน่นอน 

บทเรียน 03 : อำนาจที่แท้จริงอยู่กับประชาชนเสมอ 


ซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนความสำคัญและความด้อยค่าของประชาชนออกมาได้อย่างดีเยี่ยม แม้ในตอนแรกจะกล่าวว่าประชาชนถูกขุนนางโกงกินจนทำให้เกิดความยากลำบากและอดอยากจนถึงแก่ชีวิต แต่ตลอดทั้งเรื่องกลับแสดงให้เห็นเป็นนัยสำคัญว่า ประชาชนคือเครื่องมือที่ทรงอำนาจที่สุด ที่สามารถให้การสนับสนุน หรือคัดค้านเรื่องราวต่างๆ ได้ ไม่ว่ากลุ่มขุนนางหรือรัชทายาทจะทำการใดก็จะนึกถึงผลที่ตามมาจากประชาชนเสมอ แม้ว่ารัชทายาทในตอนแรกดูเหมือนจะทำเพื่อแย่งชิงอำนาจ แต่เขากลับเลือกปกป้องประชาชนจากฝูงซอมบี้ และหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อหวังว่าประชาชนจะได้รับความปลอดภัย ขณะที่เหล่าขุนนางกลับวางแผนใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับรัชทายาท ยอมสูญเสียประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่คำนึงว่าตนเองเป็นผู้สร้างโรคระบาดขึ้นมา 

บทเรียนข้อนี้ จึงตอกย้ำให้ประชาชนเห็นถึงอำนาจของเราทุกคนว่านอกจากเราจะกำหนดชะตาชีวิตของตัวเราเองได้แล้ว เรายังเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงอนาคตได้อีกด้วย 

. . . . . . . . .

Kingdom เป็นซีรีส์ที่ไม่ได้มีแค่การวิ่งหนีซอมบี้ หรือเรื่องราวของการเมืองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองของเรากำลังตกอยู่ในช่วงการระบาดของโรคไวรัส พี่แนนนี่เพนคิดว่าเรื่องราวต่างๆ ในซีรีส์เรื่องนี้สามารถเป็นบทเรียนที่ดีที่เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตของเรา ณ ขณะนี้ได้ อย่างน้อยก็เรื่องของการดูแลตัวเอง และไม่สร้างความลำบากให้ผู้อื่น หากเราสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ การช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ในขั้นต่อไป ทั้งนี้ มุมมองที่จะขาดไม่ได้เลยหลังจากดูซีรีส์เรื่องนี้จบ ก็คือ ความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย แม้ซีรีส์จะไม่ได้บอกวิธีการแก้ไขกับเรา แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากการดูก็เป็นประสบการณ์หนึ่งที่จะสอนตัวเราในอนาคตไม่ให้เห็นแก่ตัว และสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น 

พี่แนนนี่เพน

ขอบคุณรูปภาพจาก 
https://vandam.netflix.com/shares/56d4edca9efa4c30996e7d629a21da72
Deep Sound แสดงความรู้สึก
พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น