ดูหนังอย่างไรให้ได้งาน! แจก 6 เทคนิคสุดปังที่ได้จาก The Power of The Dog

ดูหนังอย่างไรให้ได้งาน!
แจก 6 เทคนิคสุดปังที่ได้จาก The Power of The Dog

 

 

The Power of The Dog: เมื่อการเป็นเกย์กลายเป็นเรื่องนอกคอกในสังคมชายเป็นใหญ่

 สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน เมื่อไม่นานมานี้พี่น้ำผึ้งได้มีโอกาสดูภาพยนตร์เรื่อง The Power of The Dog (2021) ผลงานกำกับของ Jane Campion ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันโดย Thomas Savage ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 1967 โน่นเลยค่ะ เห็นจากหน้าหนังแล้วหลายคนก็คงนึกถึงหนังเรื่อง Brokeback Mountain (2005) ใช่มั้ยคะ ก็ต้องบอกว่าเป็นหนังที่คล้ายกัน แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยค่ะ

The Power of the Dog เป็นเรื่องราวที่สะท้อนบริบทสังคมในยุคคาวบอยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมความเป็นลูกผู้ชายมากเกินไป (Toxic masculinity) สังคมรังเกียจการรักเพศเดียวกัน (Homophobia) ไปจนถึงการเหยียดเพศ ตัวละครมีมิติ ดูแล้วชวนคิดต่อมากๆ  โดยเฉพาะเรื่องของการกระทำตัวละครแต่ละตัว

และวันนี้พี่น้ำผึ้งขอมาแชร์สิ่งที่ได้รับจากการดูหนังเรื่องนี้ให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ โดยเฉพาะเทคนิคการเขียนนิยายที่ได้จากหนังเรื่องนี้  เผื่อนักเขียนคนไหนอยากหยิบไปใช้เพื่อสร้างนิยายให้น่าสนใจ เหมือนอย่าง  The Power of the Dog 

 

 

หนังสือเรื่อง The Power of The Dog  โดย Thomas Savage
หนังสือเรื่อง The Power of The Dog  โดย Thomas Savage

 

Spoiler Alert

***ระวัง ด้านล่างนี้มีสปอยล์***

 

เรื่องราวเกิดขึ้นที่รัฐมอนทาน่า ปี 1925 จอร์จและฟิล เบอร์แบงก์ คาวบอยสองพี่น้องฐานะร่ำรวย ได้แวะพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งระหว่างการต้อนวัว เขาได้พบกับโรส กอร์ดอน แม่ม่ายลูกติด และปีเตอร์ ผู้เป็นลูกชาย

  • ฟิลเป็นอเมริกันคาวบอยขนานแท้ เขาแข็งแกร่ง ว่องไว หลักแหลม แต่ปากคอเราะร้าย และเหยียดทุกอย่างที่ไม่ใช่ ‘ชายอเมริกัน’
  • จอร์จเป็นคนซื่อ ๆ เรียบ ๆ แต่จิตใจดี
  • โรสเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นผู้จัดการ เป็นแม่ครัว เป็นทุกอย่างในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งนี้
  • ปีเตอร์เป็นเด็กผู้ชายร่างบาง สะอาดสะอ้าน ชอบประดิดประดอย เขาหมกตัวอยู่ในห้องกับหนังสือ และมีความฝันจะเป็นศัลยแพทย์

ในหนังเรื่องนี้ เราอาจจะพูดได้ว่า ฟิลเป็นตัวแทนของ Masculinity ส่วนปีเตอร์เป็นตัวแทนของ Femineity

ไลฟ์สไตล์ของฟิลแสดงถึงความเป็นชาย (Masculinity) ทุกกระเบียดนิ้ว เขาอยู่กลางแจ้งแทบจะตลอดเวลาที่ฟ้าสว่าง เขาปฏิเสธความสะอาดสะอ้าน และพิธีการใดๆ โดยสิ้นเชิง ไม่เคยมีใครเห็นเขาอยู่ในเสื้อผ้าอื่นๆ นอกจากชุดคาวบอย เขาไม่เคยใส่ถุงมือไม่ว่าจะทำงานอะไร และถึงแม้บ้านของเขาจะใหญ่โตและหรูหราในระดับที่มีอ่างอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่เคยชำระล้างร่างกายในนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

ฟิลเป็นตัวแทนของ Masculinity ส่วนปีเตอร์เป็นตัวแทนของ Femineity
ฟิลเป็นตัวแทนของ Masculinity ส่วนปีเตอร์เป็นตัวแทนของ Femineity

 

ฟิลไม่เคยมีเรื่องเล่าใดๆ นอกจากเรื่องราวในทุ่งหญ้า บนหลังม้า ท่ามกลางฝูงวัว แต่มีอยู่หนึ่งสิ่ง ที่เสมือนว่าเป็นสิ่งเดียวที่เขาเลือกจะจดจำ คือเรื่องราวของ ‘บรองโค เฮนรี่’ เพื่อนสนิทผู้ล่วงลับ ผู้ที่ฟิลบอกว่าเป็นคาวบอยที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยพบ

เขามีเรื่องเล่าของบรองโคให้กับทุกคนได้ในทุกโอกาส แต่เรื่องเดียวที่เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง คือเรื่องที่ว่า ‘บรองโคเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท’ เพราะเขาเป็นคนรัก รักแรกในความทรงจำที่ฟิลทะนุถนอมมันไว้ เหมือนกับอานม้าของบรองโคที่ฟิลขัดเช็ดมันจนเงาวับทุก ๆ วัน

ใช่ค่ะ ฟิลเป็นชายรักชาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินจะรับได้ในสังคมคาวบอยอเมริกันยุค 50 และแน่นอนว่า มันก็เป็นสิ่งที่เกินจะรับได้สำหรับตัวฟิลเองเช่นกัน!

หลังจากบรองโคจากไป ตัวตนที่แท้จริงของฟิลจึงได้ตายไปพร้อมกับบรองโคด้วย มันทำให้เขาต้องสร้างอีกตัวตนหนึ่งขึ้นมาเพื่อที่จะมีชีวิต ตัวตนที่ยึดถือความเป็นชายตามขนบอย่างสุดขอบ เพื่อที่จะปฏิเสธความจริงว่าเขาเป็นใคร

สิ่งที่ฟิลเป็นนี้เราเรียกว่า ‘ภาวะรักเพศเดียวกันแบบแฝงเร้น (Latent homosexuality)’  นั่นเองค่ะ

ในสังคมที่มีความรังเกียจคนรักเพศเดียวกัน (Homophobia) นอกจากความเกลียดชังที่ได้รับจากผู้อื่นแล้ว กลุ่มคนรักเพศเดียวกันยังต้องต่อสู้กับมโนธรรมของตนเองที่ถูกปลูกฝังมาอีกด้วย ทำให้หลายคนเลือกที่จะปฏิเสธจิตใจของตนเอง และพยายามแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าตนเองมีความตรงเพศ (straight) มากขนาดไหน จนบางครั้งมันก็สุดขอบ (radical) เหมือนอย่างที่ฟิลเป็น

 

ปีเตอร์สามารถมีรูปลักษณ์อย่างที่ตนเองต้องการ ทำงานฝีมือ อ่านหนังสือ ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ
ปีเตอร์สามารถมีรูปลักษณ์อย่างที่ตนเองต้องการ ทำงานฝีมือ อ่านหนังสือ ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ

 

กลับกันกับปีเตอร์ โรสเลี้ยงดูเขามาโดยที่สามารถแสดงออกในสิ่งที่ตนเองเป็นได้อย่างเต็มที่ ปีเตอร์สามารถมีรูปลักษณ์อย่างที่ตนเองต้องการ ทำงานฝีมือ อ่านหนังสือ ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ จึงไม่แปลกใจที่เมื่อฟิลรู้ว่าดอกไม้ประดิษฐ์บนโต๊ะนั้นไม่ใช่ฝีมือของสาวน้อย แต่เป็นของหนุ่มสำอางร่างเล็ก เขาจึงเรียกปีเตอร์ว่า ไอ้ตุ้งติ้ง (sissy) และเอาดอกไม้พวกนั้นมาเผาเพื่อจุดบุหรี่สูบ

เขาแสดงออกว่ารังเกียจปีเตอร์ เพราะเขารังเกียจตัวเองที่เป็นเหมือนปีเตอร์

หลังจากที่โรสแต่งงานกับจอร์จ ฟิลก็แสดงออกทั้งทางคำพูดและการกระทำ เพื่อทำร้ายจิตใจโรสและปีเตอร์อยู่ตลอด จนโรสต้องหนีจากความเครียดด้วยเหล้าที่ซ่อนอยู่ในทุกจุดของบ้าน และอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมจะเป็นที่พึ่งทางใจของปีเตอร์ได้อีก ฟิลจึงเริ่มสร้างความสนิทสนมกับปีเตอร์มากขึ้น

ไม่ว่าจะยังไง คนที่เป็นเหมือนกัน ก็น่าจะเข้าใจกันได้ดีที่สุด ฟิลเริ่มสอนปีเตอร์เกี่ยวกับงานกลางแจ้ง การขี่ม้า ต้อนวัว ใช้ชีวิตแบบคาวบอย และสัญญาว่าเขาจะทำเชือกให้ฟิลหนึ่งเส้น เชือกนั้นเป็นเหมือนอวัยวะอีกหนึ่งส่วนของคาวบอย 

อุปกรณ์ใช้พันผูกนี้ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความผูกพันที่ฟิลมีให้กับปีเตอร์ นอกจากนั้นปีเตอร์ยังเป็นคนเดียวในโลกที่รู้เรื่องของฟิลกับบรองโค นอกจากตัวทั้งคู่เอง

 

อุปกรณ์ใช้พันผูกนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความผูกพันที่ฟิลมีให้กับปีเตอร์
อุปกรณ์ใช้พันผูกนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความผูกพันที่ฟิลมีให้กับปีเตอร์

 

ปีเตอร์มีความประหลาดอยู่ในตัว เขาชอบดักสัตว์มาเพื่อเปิดผ่าศึกษา หรือเมื่อเขาขี่ม้าเป็นแล้ว เขาก็ขี่ตระเวนหาซากสัตว์ที่ล้มตายเพื่อกรีดเปิดดูอีก  เขาเริ่มอยู่กลางแจ้งกับพวกฟิลมากขึ้น จนผิวสีขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแทนแบบคาวบอย ถึงแม้ว่าแม่ของเขาจะขอให้เขาไม่ฆ่าสัตว์ในบ้าน และไม่ให้ใกล้ชิดฟิลไปมากกว่านี้ แต่เขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป และมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงแม้ปีเตอร์จะไม่ถูกกดทับจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยเหมือนฟิล แต่เขาก็ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรี ด้วยเพราะบริบทสังคมที่ตนอยู่ แม้ว่าแม่ของปีเตอร์จะยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แต่สุดท้ายแล้วการยอมรับจากคนคนเดียวมันไม่พอสำหรับการมีตัวตนอยู่บนโลก เขาต้องการการยอมรับจากฟิล และคาวบอยคนอื่นๆ ในฐานะผู้ชายแบบที่สังคมต้องการ

สิ่งนี้เรียกว่า ‘ความเป็นชายที่เป็นพิษ (Toxic masculinity)’ ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลร้ายกับเพศหญิง หรือ LGBTQ+ เท่านั้น แต่ยังส่งผลกับผู้ชายตรงเพศ (straight man) อีกด้วย 

ตัวอย่างเช่น ค่านิยม Big boys don’t cry เป็นลูกผู้ชายห้ามร้องไห้ หรือความเป็นสุภาพบุรุษ ที่ทำให้ผู้ชายต้องแสดงออกในแบบหนึ่ง ไม่ใช่เพราะว่าตนเองต้องการ แต่เพราะว่าตนเองเป็นผู้ชาย ทำให้ผู้ชายหลายคนเกิดความสับสนในตนเอง และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตในที่สุด

ในตอนจบของเรื่อง ฟิลได้ให้เชือกทำมือเส้นนั้นกับปีเตอร์ตามที่ตั้งใจไว้ แต่เขาก็ต้องเสียชีวิตจากโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) ซึ่งคาดว่าน่าจะติดมาจากหนังวัวดิบที่ปีเตอร์ตัดเตรียมไว้ให้

 

 

หลังจากฟิลเสียชีวิตไปแล้ว ปีเตอร์ได้มองแม่ของเขาและพ่อใหม่จากบานหน้าต่าง บนโต๊ะมีไบเบิลซึ่งเปิดอยู่ที่ สดุดี บทที่ 22 ข้อที่ 20

‘ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ช่วยชีวิตข้าพระองค์ให้พ้นจากคมเขี้ยวของสุนัข’

เป็นนัยยะว่า เขาและแม่ได้รอดพ้นจากภัยคุกคามทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากฟิลแล้ว

ถึงแม้ว่าปีเตอร์จะเป็นคนเก็บหนังวัวที่ติดโรคมาเพื่อให้ฟิลใช้ แต่ถ้าฟิลใส่ถุงมือทำงานตลอดเหมือนที่ปีเตอร์ทำ เขาก็คงไม่ตาย ดังนั้นเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ฆ่าฟิลไม่ใช่เชื้อ Bacillus anthracis หรือแผนการอันแยบยลของปีเตอร์เพียงเท่านั้น แต่อีโก้ของตัวเขาเอง ก็มีส่วนร่วมในการตายของเขาอย่างมากพอๆ กัน

เรื่องตลกร้ายก็คือ แม้ว่าเขาจะอยู่แต่ในชุดคาวบอย ปล่อยผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ปล่อยเนื้อตัวมอมแมมมาทั้งชีวิต แต่เรื่องราวของเขากลับจบลงในชุดสูท หวีผมเรียบแปล้ ตัวขาวสะอาดสะอ้าน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์เปื้อนฝุ่น หรือชุดสูทหรูหราเงาวับ มันก็ไม่ใช่เสื้อผ้าที่เขาเลือกจะใส่เองอยู่ดี เช่นเดียวกับชีวิตของเขาที่ไม่สามารถเลือกที่จะเป็นตัวของตัวเองได้ เพราะสังคมที่กดทับให้เขาต้องเป็นลูกผู้ชายทั้งแท่ง 

 

เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ ในบทของฟิล
เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ ในบทของฟิล

6 เทคนิคเขียนนิยายที่ได้จากการดูหนังที่สร้างจากนิยายเรื่อง The Power of The Dog

ในฐานะนักเขียน  พี่แอบสรุปเทคนิคที่ได้จาก The Power of The Dog มาฝากทุกๆ คนค่ะ เผื่อว่าใครอยากได้ไอเดียใหม่ๆ ไปปรับใช้ในการเขียนนิยายของเรา ทำให้นักอ่านร้องว้าวเหมือนอย่างที่พี่ร้องว้าวหลังดูเรื่องนี้จบ

 

เทคนิค 1 : การสร้างตัวละครเทาๆ

แม้การวางโครงเรื่องอาจไม่ได้ซับซ้อน แต่จุดเด่นที่เป็นเสน่ห์ชวนตามติดของเรื่องนี้อยู่ที่ตัวละครชื่อ ‘ฟิล’ ต่างหาก เขาเป็นตัวละครที่เราเห็นครั้งแรกแล้วร้องยี้ เป็นผู้ชายในแบบที่เราเกลียด ทั้งเอาเพศชายเป็นใหญ่ เหยียดเพศแม่เป็นว่าเล่น แถมยังปากคอเราะร้าย

แต่พอหนังดำเนินไปเรื่อยๆ เราได้ทำความรู้จักอีกด้านของเขาผ่านภูมิหลังที่ผ่านมา มันทำให้เราเข้าใจและเห็นอกเห็นใจฟิลมากขึ้น ถึงบางครั้งในหัวเราจะคิดประมาณว่า ‘แต่ก็ไม่เห็นจะต้องทำร้ายคนรอบข้างขนาดนี้เลยก็ได้’ ก็ตาม

ฟิลเป็นตัวละครสีเทาที่เราไม่ได้รู้สึกอยากรัก แต่เราก็เกลียดเขาไม่ลง เพราะเราเข้าใจถึงประสบการณ์อันน่าเจ็บปวดที่ผ่านมาของเขา ซึ่งหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ หรือแม้กระทั่งปีเตอร์เองก็เช่นกัน ตัวละครตัวนี้ก็ไม่ได้เป็นคนดี 100% เราเองก็เดาทางไม่ถูกว่าเขาคิดอะไร หรือเป็นคนแบบไหนกันแน่

ตัวละครสีเทาที่เดายากเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนดูยังคงตามติด (และเผลอเอาใจช่วยโดยไม่รู้ตัว)

Tip: สร้างปูมหลังให้ตัวละครก่อนเริ่มเขียน ดูซิว่าเขามีปมอะไร สังคมที่เขาโตมาเป็นแบบไหน มันส่งผลยังไงกับนิสัยของเขาบ้าง

 

เทคนิค 2 :  การวางปมขัดแย้ง (conflict) และคลี่คลายปม

นิยายทุกเรื่องต้องมีปมขัดแย้ง (conflict) เพื่อดึงดูดใจนักอ่าน มันคือเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด และเป็นตัวขับเคลื่อนให้ดำเนินต่อไปจนถึงจุดจบ โดยปมของ The Power of The Dog ที่โดดเด่นคือปมขัดแย้งภายนอก (External Conflict)

  • ตัวละคร vs ตัวละคร: ตัวละครสองตัวมีมุมมองหรือความต้องการที่ตรงกันข้ามมาขัดแย้งกัน
     
  • ตัวละคร vs สังคม: ตัวเอกต่อต้านสังคม สามารถเกี่ยวข้องกับทุกอย่าง ตั้งแต่ขนบธรรมเนียมทางสังคมและประเพณี ไปจนถึงระบบของรัฐบาล โดยการตัดสินของสังคมมีอิทธิพลต่อตัวละครมากๆ
     
  • ตัวละคร vs ธรรมชาติ: ตัวละครจะถูกคุกคามหรือแยกออกจากกันโดยพลังธรรมชาติ พลังนั้นอาจเป็นตัวแทนของสัตว์ที่มีอำนาจ พายุ โรคติดเชื้อ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอื่นๆ ตัวละครจะถูกบังคับให้ไตร่ตรองถึงชีวิตและทางเลือกของพวกเขา มักจะจบลงด้วยการยอมรับความผิดพลาด ข้อบกพร่อง หรือการตายของพวกเขา

สำหรับ The Power of The Dog จะเป็นปมขัดแย้งภายนอกรูปแบบ ตัวละคร vs สังคม เพราะฟิลต้องต่อสู้กับสังคมภายในที่ไม่ยอมรับการรักเพศเดียวกัน และในเรื่องนี้ได้พูดถึงปมของฟิลเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องของฟิลกับบรองโค เช่น บรองโคดูจะเป็นรักแรกของฟิล แต่เป็นเรื่องที่ไม่ได้รับการยอมรับ ฟิลจึงมีปมจากการรักเพศเดียวกัน เลยพยายามทำตัวเป็นผู้ชายตามขนบ 

นักเขียนได้ค่อยๆ คลี่คลายปมให้นักอ่านรู้ถึงที่มาของการเป็นฟิลผ่านเหตุการณ์ในอดีตของเขา

ใครสนใจเรื่องของการสร้างปม ลองอ่านเกี่ยวกับปมเพิ่มเติมได้ที่ สร้าง Conflict ให้ตรึงใจคนอ่าน

 

เทคนิค 3 : สร้างฉากหลังให้สมจริง

การเลือก setting หรือฉากหลังของเรื่องเองก็สำคัญนะ เราควรเลือกฉากหลังของนิยายให้เข้ากับเรื่องของเรา ไม่ใช่ว่าเราใช้เซ็ตติ้งเป็นปี 1990 แต่มาพูดถึงโควิดที่เกิดขึ้นในปี 2021 ก็ไม่ได้ มันไม่สมเหตุสมผล เช่นเดียวกับเรื่อง The Power of The Dog ที่ใช้เซ็ตติ้งอยู่ในอเมริกา ปี 1925 ซึ่งเป็นยุคคาวบอยที่โด่งดัง

วัฒนธรรมคาวบอยนั้นมีเสน่ห์ มีการดวลปืน ขี่ม้า เลี้ยงวัว ทำฟาร์ม แต่ในทำนองเดียวกัน ก็เป็นยุคที่สะท้อนถึงสังคมชายเป็นใหญ่ชัดเจน และ The Power of The Dog ทำได้ดีในแง่ที่ว่า แม้เราจะไม่เห็นการดวลปืน ยิงปืนในหนังเรื่องนี้ แต่บรรยากาศโดยรอบกลับทำให้เห็นชัดว่ามันคือยุคคาวบอย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่ หรือวัฒนธรรมในยุคนั้น 

Tip: เมื่อเราเลือกเซ็ตติ้งของนิยายเราแล้ว อย่าลืมศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในยุคนั้นๆ ไว้ด้วย ลองสังเกตดูหน่อยว่าคนยุคนั้นมีความเชื่อหรือแนวคิดอะไรบ้าง เพื่อที่เวลาหยิบมาเขียนจะได้ครอบคลุม ไม่หลุดธีม

 

เทคนิค 4 : การหักมุม (Plot twist)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในฐานะนักเขียน พี่ชอบหักมุมมากๆๆๆ การหักมุมคือการที่เราปูเรื่องมาให้นักอ่านเชื่อ หรือคาดหวังอีกแบบ แต่ผลลัพธ์ของตอนจบกลับไม่ใช่อย่างที่คิด!!!

อย่างเรื่อง The Power of The Dog เองก็มีตอนจบตอนจบที่หักมุมเหมือนกัน นึกว่าจะ happy ending แต่ที่ไหนได้...ฟิลตาย มันไม่เหมือนเรื่องอื่นตรงที่มันทำให้เราตั้งคำถามว่า จริงๆ ปีเตอร์ไม่ได้รู้สึกอะไรกับฟิลเลยแต่แรกหรือเปล่า? หรือมีแค่ฟิลที่รักปีเตอร์ข้างเดียวหรือเปล่า? หรือจริงๆ ปีเตอร์ไม่ได้ตั้งใจฆ่าฟิล ชวนคิดต่อเต็มไปหมด แต่ที่แน่ๆ หักมุมจริงๆ

Tip: การหักมุมเรื่องมีหลายรูปแบบ แต่ถ้าคิดไม่ออก ลองวิธีเหล่านี้ดู เช่น

  • ฆ่าตัวละครที่ดูเหมือนมีความสำคัญในเรื่อง
  • ฆ่าตัวละครที่นักอ่านรัก
  • ให้ตัวละครค้นพบเนื้อเรื่องที่เป็นจุดหักมุมอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ยกระดับตัวละครที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่ทำให้เขาสำคัญ
  • ให้การเปิดเผยครั้งใหญ่ในเรื่องจุดประกายจุดจบ

 

เทคนิค 5: การใช้สัญลักษณ์สื่อในเรื่อง (Symbols)

สัญลักษณ์ (Symbols) คือสิ่งที่เป็นตัวแทนของอะไรก็ได้ในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร การกระทำ สิ่งของ หรือสัตว์สามารถเป็นสัญลักษณ์ได้ สัญลักษณ์สามารถให้คำมีความหมายสองนัย ทั้งตรงตามตัวอักษรและในเชิงเปรียบเทียบ นอกจากนี้สัญลักษณ์ยังสามารถเป็นภาษาลับระหว่างนักเขียนกับนักอ่านอีกด้วย เมื่อใส่สัญลักษณ์ลงไป มันจะช่วยยกระดับการเขียนของเราให้น่าสนใจขึ้น

The Power of The Dog เต็มไปด้วยสัญลักษณ์เกือบจะทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น

  • ฟิลไม่ยอมใส่ถุงมือ เป็นนัยยะที่น่าจะสื่อว่า ชายผู้นี้เต็มไปด้วยอีโก้ และการพยายามบอกว่าตัวเองเป็นชายมากๆ ไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน
     
  • ฟิลถักเชือกให้ปีเตอร์ เป็นนัยยะที่น่าจะสื่อว่า ฟิลเปิดใจรับปีเตอร์เข้ามาในชีวิต และเชือกเป็นตัวแทนความรู้สึกของเขาที่มีต่อปีเตอร์
     
  • บทสดุดีที่ 22 ข้อที่ 20 เป็นนัยยะที่สื่อว่า เขาและแม่รอดพ้นจากฟิล เพราะฟิลตายไปแล้ว
     
  • และตัวชื่อเรื่อง The Power of The Dog อาจหมายถึง ตัวฟิลที่มีคมเขี้ยวร้ายกาจ เหมือนหมาดุร้ายที่พร้อมแว้งกัดสองแม่ลูกอยู่เสมอ

Tip: ในการใส่สัญลักษณ์ลงในนิยายไม่ควรใช้สัญลักษณ์ที่มีอยู่ทั่วๆ ไป เช่น พระอาทิตย์ขึ้นแสดงถึงการเริ่มต้นใหม่ หรือนกพิราบอาจเป็นตัวแทนของสันติภาพ แต่สัญลักษณ์ที่ดีที่สุดควรเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความหมาย หรือมุมมองของเรื่องราว เช่นการไม่ใส่ถุงมือของฟิล เป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เห็นถึงผลกระทบตลอดทั้งเรื่อง (ไม่ใส่ถุงมือเพราะต้องการแสดงความเป็นชาย แต่สุดท้ายก็ตายเพราะมือเปล่า ไม่ยอมใส่ถุงมือ)

 

เทคนิค 6: การทิ้งประเด็นให้คนอ่านคิดต่อ

เคยมีคนบอกว่า นิยายที่ทำให้นักอ่านจดจำได้ คือนิยายที่ทิ้งประเด็นให้พวกเขาได้ขบคิดต่อ จนนำมาสู่การถกกัน (discuss)  มันไม่ใช่เรื่องที่อ่านจบแล้วทำให้เรารู้สึกว่าคลี่คลายปมไม่จบ แต่มันเป็นเรื่องที่คลี่คลายปมหมด แต่ทิ้งประเด็นไว้ให้เราคิดเพื่อค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง 

และ The Power of The Dog ทำได้ดีมากๆ ตรงจุดนี้ เพราะมันมีประเด็นให้คิดต่อหลังจบเรื่อง หลักๆ เกี่ยวกับความเป็นชายมากเกินไป (Toxic Masculinity), สังคมแบบปิตาธิปไตย (Patriarchy), สังคมที่รังเกียจการรักเพศเดียวกัน (Homophobia) แล้วก็ทำให้ขบคิดว่าตัวละครสมควรได้รับผลการกระทำนั้นมั้ย เป็นต้น

Tip: คลี่คลายปมเรื่องทั้งหมดที่เราผูกไว้ แล้วลองดูนิยายของเราว่ามีประเด็นไหนที่สามารถทิ้งให้นักอ่านไปขบคิดต่อได้

...............

 

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องที่พี่นำมาฝากวันนี้ จัดเต็มครบหมด ทั้งสิ่งที่ได้รับจากการดูหนังที่สร้างจากนิยายเรื่องนี้ แถมยังส่งต่อเคล็ดลับดีๆ เพื่อนักเขียนทุกคนด้วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ แต่พูดถึงนะ The Power of The Dog ทิ้งหลายอย่างให้ชวนคิดต่อจริงๆ ฟิลเป็นตัวละครที่น่าสงสาร และมันก็น่าเจ็บปวดเหมือนกันที่ฟิลไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเพราะกลัวสังคมไม่ยอมรับ  ถ้าหากว่าฟิลเกิดมาในยุคนี้ ในยุคที่การเป็นชายรักชายเป็นเรื่องที่เปิดกว้าง เขาก็คงกล้าเป็นตัวของตัวเอง และไม่สร้างพลังงานที่เป็นพิษ (Toxic) ให้คนรอบข้างเหมือนอย่างที่เป็น 

แล้วน้องๆ คิดยังไงบ้างคะ? เล่าให้ฟังด้วยนะ!

 

"But Phil knew...what it was to be a pariah, and he had loathed the world, 
should it loath him first."

 

แต่ฟิลรู้...การเป็นคนนอกคอกคืออะไร และเขาเกลียดโลก ถ้ามันเกลียดเขาก่อน

 

ขอบคุณรูปภาพจากภาพยนตร์
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด