Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เมืองคราคูฟ (Krakow) : มนต์เสน่ห์ความงามแห่งยุโรป

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับเพื่อนๆชาวเด็กดี นี่เป็นกระทู้แรกของผมที่อยากจะมารีวิวการท่องเที่ยวในเมืองยุโรป ครั้งนี้ ผมได้ไปที่ประเทศโปแลนด์ และเมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวโปแลนด์ หนึ่งในเมืองที่ต้องเอ่ยถึงเป็นอันดับแรกก็คือ “คราคูฟ” (Krakow) เมืองที่เป็นดั่งศูนย์กลางการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และเศรษฐกิจทางตอนใต้ของประเทศ เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของจังหวัด Małopolskie มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความเก่าแก่มากที่สุดอีกด้วย 


 
          การเดินทางไปยังคราคูฟครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปเยือนครั้งแรกของผม เนื่องจากได้ยินค่ำร่ำลือถึงเสน่ห์แห่งความสวยงามมานาน แต่ยังไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม จนกระทั่งปลายปี 2016 นี้ ที่ได้มีโอกาสเดินทางไปที่โปแลนด์ และไม่รอช้าที่จะหาโอกาสไปชมความสวยงามของเมืองนี้ด้วยตาตนเองสักครั้ง
 
           ผมเริ่มออกเดินทางจากเมืองคาโตวีซ่า (Katowice) ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มายังเมือง คราคูฟโดยนั่งรถบัสมาในราคาเพียง 14 สวอตตี้ หรือคิดเป็นเงินไทยเพียง 140 บาทเท่านั้น ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถบัสเมืองคราคูฟ ซี่งเป็นสถานที่เดียวกับสถานีรถไฟ ทำให้ง่ายต่อการเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆ หรือประเทศเพื่อนบ้านในโซนยุโรปได้อย่างง่ายดายอีกด้วย เช่น สาธารณรัฐเช็ก เยอรมัน ออสเตรีย สโลวาเกีย และฮังการี
           ความรู้สึกของผมในวินาทีแรกที่เดินทางถึงเมืองนี้คือ ตื่นเต้นกับความตื่นตัวและคึกคักของผู้คนในสถานีรถไฟซึ่งมีขนาดใหญ่ หากเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆที่ค่อนข้างเงียบสงบกว่า หลังจากเดินทางไปเช็คอินที่โรงแรมเป็นที่เรียบร้อย ผมก็เดินทางไปยัง Old town หรือย่านเมืองเก่าใจกลางเมืองที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุด ผมจำเป็นต้องรีบเดินไปให้ถึงก่อนฟ้ามืด เพราะแสงจะหมด ซึ่งในขณะนั้นเป็นเวลาเพียงบ่าย 2 โมงเท่านั้น แต่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มแล้ว เพราะระหว่างฤดูหนาวที่นี่ เวลาประมาณบ่าย 3-4 โมง ท้องฟ้าจะเหมือนยามโพล้เพล้ 1 ทุ่ม-2ทุ่มในบ้านเรา




ก่อนเดินทางถึง old town ผมแวะทานอาหารกลางวันสไตล์อิตาเลียน ซึ่งขึ้นชื่อในประเทศโปแลนด์ ชื่อร้าน Bianca ร้านนี้มีชื่อเสียงเรื่องพาสต้าและไวน์ ผมจึงสั่งพาสต้ากุ้งผสมไวน์ขาว พร้อมชาผลไม้มาทาน รสชาติกลมกล่มมาก ชาผลไม้ก็มีกลิ่นหอมไม่ซ้ำใคร ราคารวมทั้งหมดเพียง 400 บาทเท่านั้น ถือว่าคุ้มค่ากับรสชาติมากๆ



          หลังจากเติมพลังจนอิ่มท้องแล้ว ก็มีแรงออกเดินต่อไปยังย่าน Old town หรือจัตุรัสกลางเมือง ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่หลายชั่วโมง กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่ม เพราะสถาปัตยกรรมที่นี่ถ่ายรูปจากมุมไหนก็งดงามทุกส่วนตั้งแต่โบสถ์เซนต์แมรี่ ที่มียอดคู่ตั้งตระหง่านสูงเด่น มองเห็นได้จากระยะไกล กลางจัตุรัสมี Cloth hall อาคารสไตล์เรเนสซองขนาดยาว ภายในมีออกร้านขายของที่ระลึกและเสื้อผ้าเรียงรายเป็นจำนวนมาก ด้านข้างมี Town Hall ลักษณะคล้ายหอนาฬิกาตั้งอยู่ เมื่อเวลามองจากระยะไกลจะเห็นยอดอาคารหลายรูปแบบเหลื่อมล้ำต่ำสูง ชวนให้มองได้อย่างไม่รู้เบื่อ 



           นอกจากนั้น ยังมีรถม้า อันเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโปแลนด์ เพื่อสำหรับบริการนักท่องเที่ยวในการพาชมเมือง โดยม้าและรถม้าจะประดับประดาอย่างสวยงาม นับเป็นอีกเสน่ห์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปและให้ความสนใจ 




บรรยากาศยามค่ำคืนก็ครึกครื้นไปด้วยเสียงเพลง และผู้คนที่ออกมาทานมื้อค่ำและจับจ่ายใช้สอยกันทั่วทั้ง Old town นอกจากร้านขายขนมหวาน คุกกี้รูปทรงต่างๆ และของประดับประดาสำหรับเทศกาลคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึง ยังมีร้านอาหารแนว Street food หลากหลายรูปแบบ ที่ผมรู้สึกประหลาดใจอยู่ร้านหนึ่งก็คือ ข้อเท้าหมูต้มในหม้อใหญ่ยักษ์ ลักษณะคล้ายกับพะโล้หมู และหมูย่างแบบเสต็กที่เสียบกับเหล็กยาวๆ โดยจะแบ่งขายตามความต้องการของลูกค้า ผมจึงส่งเสต็กหมูมาประมาณ ¼ ของไม้ ราคา 310 บาท ทานร่วมกับซอสและมันฝรั่งต้ม รสชาติดี กลิ่นหอม และยิ่งรู้สึกดีมากๆเวลาได้ทานอาหารร้อนๆ ท่ามกลางอากาศหนาวอุณหภูมิ -1 เรียกได้ว่า “ฟิน” มากๆ



เช้าวันถัดมา ผมเดินทางไปยังปราสาท Wawel อยู่ห่างออกไปจาก Old town แต่ยังอยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ ตั้งอยู่บนเนิน Wawel ติดริมแม่น้ำ Vistula ปราสาทแห่งนี้เคยใช้เป็นที่จัดพิธีสำคัญสำหรับกษัตริย์หลายพระองค์ในราชวงศ์โปแลนด์ในอดีต เนื่องจากเมืองคราคูฟเคยเป็นเมืองหลวงของโปแลนด์มานานหลายร้อยปี  ภายในปราสาทประกอบไปด้วยโบสถ์หลายหลังและมีสถาปัตยกรรมที่หลากหลายแปลกตากันไป แต่เมื่อมองดูในองค์รวม ก็ทำให้เกิดภาพที่สวยงาม และกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมแห่งคราคูฟ ปัจจุบันภายในอาคารที่นอกเหนือจากโบสถ์แล้ว จะมีจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับแสดงเกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์โปแลนด์ ศาสนา และประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ด้านหลังของปราสาท สามารถมองเห็นแม่น้ำ Vistula จากด้านบน และวิวของเมืองคราคูฟที่มีสีสัน ตัดกับสายน้ำที่สงบนิ่ง เป็นภาพความงามที่ผมยังจดจำได้จนถึงขณะนี้




          ความประทับใจที่สุดอย่างหนึ่งของผม นอกจากความสวยงามของเมืองแล้ว ก็คือความมีน้ำใจของผู้คนที่นี่ เนื่องจากการเดินทางมาครั้งนี้ เป็นการเดินทางครั้งแรกมายังยุโรปและเดินทางเพียงคนเดียว ฉะนั้น อาจจะต้องถามทางบ่อยเพื่อความแน่ใจ ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ยิ้มแย้มแจ่มใส และดูเต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือ ทั้งบอกทาง และช่วยถ่ายภาพให้
          ความน่าเสียดายที่สุดก็คือ ผมอยู่ในเมืองนี้ได้แค่ 2 วันเท่านั้น หลังจากนี้ จะต้องเดินทางไปยังเมืองอื่นๆต่อ แต่เมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น ค่ายกักกัน Auschwitch สมัยสงครามนาซี ที่อยู่นอกเมืองคราคูฟ และเหมืองเกลือ Wieliczka ซึ่งขึ้นชื่อว่าสวยงามและเป็นอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ผมจึงมั่นใจว่า หากได้กลับมาโปแลนด์อีกครั้ง ก็จะต้องแวะมาที่เมืองนี้ให้ได้ เพราะมนต์เสน่ห์แห่งความเป็นยุโรปแบบนี้เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การสัมผัสและระลึกถึงอย่างไม่รู้เบื่อ 




          สำหรับกระทู้หน้าจะเป็นทริปท่องเที่ยวไปไหนนั้น อย่าลืมติดตามกันนะครับ ...

 

แสดงความคิดเห็น

6 ความคิดเห็น

SONE9 [SoshiExo] 23 ธ.ค. 59 เวลา 16:51 น. 5

โห สวยอ่ะน่าไปด้วย แต่มีเเพลนว่าจะไปเกาหลีใต้ก่อน ถ้าเกาหลีใต้เป็นประเทศปิดล้ะก็จะไปรัสเซียแทน แต่ต้องรอแม่ตั้งปีสองปีแหน่ะ TT แต่สัญญากับตัวเองเลยว่าต้องไปสถานที่สวยงามอย่างโปแลนด์ให้ได้ (หลบไปก่อนนะอิตาลี TT)

0