พาไปรู้จัก “เติร์ด Tilly Birds” ให้มากขึ้นใน 10 นาที กับเรื่องราวที่เป็นความลับสุดๆ ของเขา!!!

Spoil 

  • เติร์ดเป็นเด็กกล้าแสดงออก ชอบร้องเพลง และชอบทำกิจกรรมาตั้งแต่เด็ก
  • วันหนึ่งเติร์ดพบว่าตัวเองก็ร้องเพลงเพราะ! ประกอบกับคนรอบข้างเชียร์มาตลอด เติร์ดจึงไปร่วมประกวดร้องเพลงในหลายๆ เวทีดังของประเทศไทย แม้ไม่ผ่านเข้ารอบแต่เติร์ดไม่เคยยอมแพ้
  • นอกจากบทบาทของนักร้องนำวง Tilly Birds อย่างที่ทุกคนเห็นแล้ว เติร์ดยังเป็นนักแต่งเพลง คนเขียนบท ผู้กำกับหนังสั้น ผู้กำกับมิวสิควิดีโอ อีกด้วย

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ใครที่ติดตามข่าวบันเทิงโดยเฉพาะวงการเพลงเป็นประจำช่วงนี้คงได้คุ้นชื่อของ “เติร์ด Tilly Birds” หรือ “3rd Tilly Birds” หรือ “เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา” ทั้งในเครดิตใต้เพลง ไม่ว่าจะในบทบาทของนักแต่งเพลงหรือผู้กำกับก็ตาม หรือแม้แต่บทสัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆ ก็เต็มไปด้วยชื่อของเติร์ดเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น การได้รับเกียรติจากเติร์ดมาร่วมพูดคุยกันในวันนี้ ทำให้พี่ซาร่ารู้ว่า เติร์ดยังมีเรื่องที่ว้าว! อีกมากมายที่หลายคนอาจยังไม่รู้มาก่อน และแน่นอนค่ะ พี่ซาร่าสัมภาษณ์มาพร้อมสุบสิบซุบซิบให้น้องๆ ชาว Dek-D.com ได้รู้ก่อนใครแล้ว ตามมาเลย

“เติร์ด Tilly Birds”  หรือ “เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา”
“เติร์ด Tilly Birds”  หรือ “เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา”

1. วัยประถมของเติร์ด ชอบร้องเพลง ชอบแสดงออก ชอบทำกิจกรรม ฟังเพลงแล้วชอบร้องเพลงตาม จึงไปอยู่วงประสานเสียงตั้งแต่เด็ก และเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งเล่านิทาน แข่งเล่นละคร แข่งร้องเพลง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนทุกอย่างที่ทำ โดยบอกว่า “อะไรที่ดี ทำแล้วสนุก ทำแล้วดีกับตัวเอง ก็ทำเลย”

2. คุณพ่อคุณแม่เติร์ดชอบร้องเพลงเหมือนกัน แต่เป็นฟีลคาราโอเกะที่บ้าน โดยเติร์ดมีคุณอาที่เป็นครูสอนกีตาร์ให้เติร์ด ทั้งกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า แต่เติร์ดบอกว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ปูพื้นฐานให้เติร์ดในวันนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตัวเติร์ดเองที่พยายามอย่างมากในเส้นทางดนตรี และเห็นชอบร้องเพลงขนาดนี้ มีหรือจะพลาดเวทีประกวด! ตอนมัธยมเติร์ดเคยไปประกวดร้องเพลงของสยามกลการ ส่วน ม.ปลายถึงประมาณปี 2 เคยไปสมัคร The Voice, The Star, AF, X factor แต่ไม่เข้ารอบเลยสักรายการ!

3. ตอนที่ไม่เข้ารอบใดๆ เติร์ดบอกว่าเฟลเหมือนกันนะ แต่ความที่เป็นคนเชื่อมั่นใจตัวเองสูงว่า “เค้ายังไม่ได้เห็นสิ่งที่เติร์ดมีน่ะสิ!” เติร์ดเลยมั่นใจที่จะไปต่อ คุณพ่อคุณแม่และเพื่อนๆ ก็สนับสนุนเติร์ดด้วยการเชียร์สุดฤทธิ์เช่นกัน โดยตอนนั้นเติร์ดคิดว่าต้องมีสักเวทีสิที่มองเห็นความสามารถของเรา ในที่สุดเติร์ดก็เจอเวทีนั่น คือ Gene Lab  ของพี่โอม Cocktail นี่เอง

4. เติร์ดเล่าถึงตอนไปประกวด The Star ที่ตึกแกรมมี่ เติร์ดบอกว่าพอไปถึงคนเยอะมาก เข้าแถวยาวจนล้นออกมานอกตึก วันนั้นเติร์ดไปประมาณ 8 โมง แต่ได้เข้าไปร้องเพลงตอน 5 โมงเย็น เพลงที่เติร์ดเลือกไปออดิชั่นคือเพลง “อาจจะเป็นคนนี้” ของพี่แหวน ธิติมา โดยเติร์ดได้ร้องเพลงแค่ท่อนเดียวเท่านั้นคือ “เผื่อจะเป็นคนนี้ ที่เราเฝ้าคอยไขว่คว้า” ยังไม่ทันได้เจอพี่โจ้ พี่เพชร พี่ม้าด้วยซ้ำ 

ชื่อวง "Tilly Birds" ผวนมาจากชื่อ "เติร์ด บิลลี่"
ชื่อวง "Tilly Birds" ผวนมาจากชื่อ "เติร์ด บิลลี่"

5. ส่วนตอนไปเวที AF เติร์ดเล่าว่าร้องเพลง Rolling in the Deep ของ Adele ขณะที่เวทีที่ได้ร้องเยอะมากแถมมีสัมภาษณ์ด้วยคือ The Voice Thailand ในใจคิดว่ามีหวังแน่เลย เพราะได้โชว์เยอะกว่าเวทีอื่น จากนั้นก็ตั้งตารอรับโทรศัพท์เบอร์แปลกที่จะโทรมาแจ้งผล แต่ปรากฏว่าไม่ผ่านเข้ารอบเหมือนกัน!

6. เติร์ดบอกว่า Tilly Birds ค่อนข้างมีชื่อเสียงในกลุ่มวงอินดี้ นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่โอมรู้จักวงของเติร์ดและมาชวนไปออดิชั่นเข้าค่าย Gene Lab โดยพี่โอมบอกว่าจะมีการแข่งขันเป็นรายการชื่อ Band Lab สนใจมาสมัครไหม ตอนเข้าไปแข่งก็ได้เจอ Three man down และหลายๆ วงที่เข้ามาแข่งพร้อมกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ออดิชั่นผ่านและชนะการแข่งขันจนกระทั่งเข้าค่าย Gene Lab และทำเพลงมาถึงปัจจุบัน โดยเติร์ดบอกว่า พี่โอมเพิ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อหนึ่งโดยพูดถึง Tilly Birds ว่า “เห็นความพิเศษในตัวเรา 3 คน เห็นว่าวง Tilly Birds นี่ไม่ใช่วงธรรมดา และพี่โอมอยากเอามาพัฒนาต่อ ให้ได้ทำอาชีพศิลปินจริงๆ ได้ทำเพลง ได้ปล่อยเพลง ได้ทำผลงานออกมาให้คนได้ฟังได้ดูกัน”

7. ช่วงที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตเติร์ดคือช่วงที่กำลังจะเข้า Band Lab ตอนนั้นเติร์ดเรียนภาคฟิล์ม จุฬาฯ และต้องทำหนังสั้น Thesis ซึ่งต้องออกกองถ่ายรายการ Band Lab จบปุ๊ปต้องมาถ่ายหนังสั้นต่อเลย ชีวิตตอนนั้นเหมือนจับปลาสองมือโดยต้องประคับประคองให้ไปได้ดีทั้งคู่ด้วย แต่สุดท้ายก็ชนะ Band Lab และหนังก็ฉายทันเวลาด้วย ถือว่าคุ้มเหนื่อยมาก

8. จากความสาหัสตอนนั้น เติร์ดบอกว่า “ต้องเข้าใจด้วยว่าความสำเร็จมันจะไม่เกิดขึ้นทันทีทันใด มันต้องใช้เวลา” แถมเติร์ดยังบอกตัวเองว่า “จะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว” ปัจจุบันนี้เติร์ดเลยเป็นหนักยิ่งกว่าเดิม!!! ยังเล่นดนตรีกับวง ออกทัวร์ พร้อมกับกำกับ MV ให้วงอื่นด้วย มีโอกาสดีๆ อะไรเข้ามาก็รับทำหมด โดยวิธีคลายเครียดและผ่อนคลายของเติร์ดคือ ออกกำลังกาย ดูหนัง ดูซีรีส์ อยู่กับเพื่อน กินของอร่อยที่ชอบ 

"เติร์ด" ตอนกำกับ MV เพลง เจ้าของที่ - Mirrr
"เติร์ด" ตอนกำกับ MV เพลง เจ้าของที่ - Mirrr 

9. ตอนเรียนละครเวที ศิลปกรรมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ พอได้เรียนวิชารหัส TU115 สอนโดย “อ.ต่อ - คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง” เป็นนักวิจารณ์หนังและเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์ เติร์ดรู้สึกว่านี่คือแพสชัน เติร์ดชอบทำหนัง อยากทำหนัง ทำบทหนัง จึงไปปรึกษาบิลลี่ที่อยู่นิเทศฯ จุฬาฯ ที่กำลังจะเข้าภาคภาพยนตร์ บิลลี่บอกว่าอยู่นิเทศฯ จฬาฯ กิจกรรมเยอะมาก ได้ทำดนตรี ได้ทำเพลงละครเวทีด้วย ความที่เติร์ดเป็นเด็กกิจกรรมจึงรู้สึกว่าน่าสนุก หลังจากคิดอยู่นานก็ตัดสินใจซิ่ว

10. ตอนเติร์ดบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าจะซิ่ว คุณพ่อคุณแม่บอกว่า “ถ้าคิดว่าสิ่งนี้ถูกต้อง สิ่งนี้ตรงกับใจเรา ก็ซิ่วไป” โดยตอนนั้นเติร์ดจะรู้สึกว่า 1 ปี ที่ธรรมศาสตร์ไม่ได้เสียเปล่าเลย เพราะเติร์ดมีเพื่อนที่ดีมากๆ ทั้งที่คณะศิลปกรรม ทั้งชมรม TU Folksong รุ่น 11 (เติร์ดรหัส มธ. 56) โดยเติร์ดได้สมาชิก Tilly Birds อีก 3 คนจากที่นี่คือ ไมโล (มือกลองปัจจุบัน) เบ๊บ (มือกีตาร์โซโล่) และพี่บุ๊ก (มือเบส) ปัจจุบันเบ๊บและพี่บุ๊กไม่ได้อยู่ในวง Tilly Birds แล้ว เพราะจำเป็นต้องไปตามเส้นทางชีวิตของตัวเองคือ คนหนึ่งไปเรียนต่อ อีกคนหนึ่งไปทำงานประจำ 

11. ตอนซิ่วมาใหม่ๆ เติร์ดรู้สึกแก่! แต่ถึงอย่างนั้นเติร์ดก็บอกว่า “การเริ่มต้นใหม่มันไม่มีคำว่าช้าไป” สำหรับคนที่อยากจะเรียนสิ่งที่ตัวเองชอบ เพื่อนๆ นิเทศฯ น่ารักมาก และเติร์ดก็เจอคนบ้าๆ บอๆ เหมือนกันเยอะมาก คือชอบละคร ชอบร้องเพลง ชอบเต้น จึงรู้สึกว่ามาถูกที่แล้ว 

12. เติร์ดบอกว่าตอนไปฝึกงานที่ gdh แม้จะเป็นบริษัทที่อยากทำงานมาก อยากเขียนบทที่นี่ อยากกำกับหนังที่นี่ แต่ตอนนั้นก็ทำตัวแย่มาก เพราะพอทำวงดนตรีแล้วเวลาน้อย ทำให้บางวันก็ไม่ได้ไปฝึกงาน บางวันก็ไปสาย วันที่สรุปงานรู้เลยว่าถูกตำหนิแน่ ซึ่งก็ถูกอบรมสั่งสอนไปตามสมควร ตอนนั้นยังคิดในใจว่า ถ้าจะมาทำงานที่นี่ต่อ เค้าจะรับมั้ยนะ? (หัวเราะ) 

Tilly Birds กับรางวัล #TOTYMusicAwards2021
Tilly Birds กับรางวัล #TOTYMusicAwards2021

13. พอเรียนจบมาเติร์ดก็ไปทำงานเขียนบทที่ค่ายนักคิด ค่ายนี้มีผลงานคือ แสงกระสือ ดิว…ไปด้วยกันนะ The Classic รู้สึกว่าได้ไปทำบทหนังอย่างที่อยากทำจริงๆ แล้ว แต่หลังจากนั้นก็ถูกเลย์ออฟเนื่องจากเศรษฐกิจแย่ เติร์ดก็เลยออกมาทำวงอย่างเดียว แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนคือ เติร์ดกับทีมเขียนบทได้เขียนเรื่อง “Cracked ภาพหวาด” ตั้งแต่ปี 2018-2019 โดยหนังเพิ่งได้เข้าฉาย นำแสดงโดยณิชคุณ-แพต ชญานิษฐ์ ใครดูแล้วมาบอกเติร์ดด้วยว่าชอบไหม

14. ถึงจะเคยสร้างตำนานที่ gdh ไว้ แต่ตอนที่เพลงคิด(แต่ไม่)ถึงกับเพลงจำเก่งกำลังดัง “พี่วันฤดี (Producer/Script Supervisor ที่ gdh)” ก็บอกเติร์ดว่า “พี่ชอบทั้งสองเพลงเลย พี่อยากให้เติร์ดมาลองเขียนเพลงประกอบหนังดู พี่ว่าเติร์ดทำได้” พี่วันบอกว่าหนังพล็อตปล้นๆ มีณเดชน์ ใบเฟิร์น พี่เผือก พี่แหม่ม ฯลฯ เติร์ดดีใจมากที่ได้รับโอกาสนี้เลยถามพี่วันว่าจะให้ใครร้องเพลงที่เติร์ดแต่ง พี่ วันตอบว่า “พี่ว่าจะให้แบมแบม GOT7 มาร้อง” เติร์ดถึงกับ “ห้ะ!!! แล้วพี่จะให้ผมเขียนเนี่ยนะ” ซึ่งพี่วันก็ให้กำลังใจเติร์ดและเชื่อมั่นในตัวเติร์ดอย่างมาก 

15. ช่วงที่แต่งเพลง “พี่ไม่หล่อลวง - BamBam OST. อ้าย..คนหล่อลวง” เติร์ดกำลังทัวร์คอนเสิร์ต จึงต้องแต่งเพลงในรถ ต้องอัดเสียงร้องเป็นดราฟต์ไปให้แบมแบมด้วย ซึ่งผลงานชิ้นนี้ทำให้เติร์ดเป็นที่รู้จักในด้านการแต่งเพลงเพิ่มขึ้น

16. เติร์ดบอกว่าเป็นคนชอบเล่าเรื่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว ชอบเขียนนิทาน เรื่องสั้น เขียนกลอน แถมตอน ม.ปลาย เคยเขียนนิยายแนวซุปเปอร์ฮีโร่ลงที่เว็บ Dek-D.com ด้วยนะ (ใครเคยอ่านบ้าง?) และบิลลี่เห็นว่าเติร์ดร้องเพลงได้ทำไมไม่ลองเขียนเพลงดูบ้างล่ะ ประมาณ ม.3-4 บิลลี่จึงเขียนดนตรีมาให้เติร์ดลองใส่ทำนองใส่เนื้อเพลงเข้าไป แต่ว่าการเขียนบทหนังนั้นเติร์ดมาเริ่มตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัย

17. เติร์ดบอกว่าชอบซุปเปอร์ฮีโร่มาก โดยเฉพาะ X-MEN เพราะรู้สึกว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่พูดเรื่องมนุษยชน พูดถึงความเท่าเทียม พูดถึงการเป็นคนแปลกแยกที่ไม่เหมือนคนอื่นแต่ไม่ใช่คนไม่ดีหรือน่ารังเกียจ รู้สึกว่าเนื้อหาที่ X-MEN สื่อสารออกมาดีมาก

18. เวลาเครียดเขียนเพลงไม่ออก เติร์ดบอกว่าต้องพักสมอง พักสายตา พักหู ถ้าไอเดียมาค่อยไปเขียน แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทหรือเขียนเพลงก็ตาม เติร์ดมีสิ่งที่เรียกว่า “เดดไลน์” เป็นตัวกระตุ้นให้เขียนออกมาได้ 

19. เพลงของ Tilly Birds ที่เติร์ดชอบมากที่สุดมี 3 เพลงคือ เพลงเลิก อัลบั้มผู้เดียว, เพลงเบื่อคนขี้เบื่อ อัลบั้ม It's Gonna Be OK เพราะรู้สึกว่าเท่ แต่เป็นเพลงที่ฟังยาก และ เพลงเรื่องดีๆ เป็น EP ของ Tilly Birds ที่ทำตอนปี 2017 เป็นเพลงช้าที่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าเป็นเพลงที่ตัวเองเขียนได้ดีที่สุด ส่วนเพลง “ถ้าเราเจอกันอีก” เป็นเพลงที่ epic มาก ยิ่งใหญ่ และไม่คิดว่าจะดัง ถึงอย่างนั้นเติร์ดก็ดีใจมากที่เพลงนี้มันฮิตขึ้นมา

20. เพลงที่เติร์ดแต่งจะมีบางเพลงที่บิลลี่กับไมโลคอยเบรกว่า “อันนี้เยอะไปมั้ย อยากเขียนเนื้อหาแบบนี้จริงเหรอ เพลงนี้ไม่เอาประชดมั้ย พูดดีๆ ดีกว่า” แต่ส่วนใหญ่แล้วทุกเพลงก็ได้ทำหมด โดยเพลงที่ตรงกับตัวเติร์ดมากที่สุด คือ เพลงลู่วิ่ง เป็นเพลงที่ตัวแทนอธิบายว่าทำไมเราถึงไม่มีแฟน ทำไมถึงสิ้นหวังในความรักมาตลอด ทำไมไปชอบคนที่เค้าไม่ได้ชอบเรา เราจึงกลายเป็นคนที่ไปวิ่งตามเค้าเป็นส่วนใหญ่ แต่เติร์ดบอกว่าตอนนี้ไม่มีเวลาไปวิ่งตามใครแล้วเพราะส่วนใหญ่ทำแต่งาน 

21. สิ่งที่เติร์ดอยากทำแต่ยังไม่มีโอกาสและแทบไม่เคยบอกใครคือ “อยากเปิดโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษ” เพราะรู้สึกว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษได้ดี อยากให้คนกล้าพูด และพูดได้สำเนียงดีขึ้น และอีกอย่างหนึ่งคือเติร์ด “อยากทำรายการยูทูบของตัวเองแล้วไปสัมภาษณ์คนที่บ้านสกปรกหรือห้องรก ไปจัดของ ไปจัดบ้านให้เค้า แล้วก็สัมภาษณ์ชีวิตเค้าด้วย” เพราะเติร์ดเป็นคนชอบจัดของ จัดบ้านมากๆ หรือไม่ก็เป็น “รายการเกี่ยวกับการร้องเพลง ชวนนักร้องมาคุยกันเรื่องร้องเพลง” เพราะเติร์ดรู้สึกเป็นเนิร์ดเรื่องนี้ 

22. เติร์ดบอกว่าสิ่งที่หลายคนยังไม่รู้เกี่ยวกับเติร์ดคือการเป็นผู้กำกับ เขียนบท โดย MV ที่เติร์ดทำเองคือ คิด(แต่ไม่)ถึง, ลู่วิ่ง, อภัย เพราะเติร์ดไม่เคยใส่ชื่อไปใน end credit เพราะกลัวว่าจะเป็นการเชิดชูตัวเองมากเกินไป แต่หลังๆ รู้สึกว่าเหนื่อยมากกก ขอใส่ให้ชื่นใจหน่อย แล้วมันก็ทำให้มีงานนอกมาเพิ่มขึ้นด้วย 

23. เติร์ดบอกว่าตัวเองเป็นคน extrovert ที่สุดในวงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นบางทีเติร์ดก็กลัวคนเยอะๆ เพราะทำตัวไม่ถูก และความที่มีเพื่อนเยอะ หลายกลุ่ม หลายแก๊ง บางทีเพื่อนนัดพร้อมกัน เติร์ดไม่รู้จะไปแก๊งไหนดี กลัวไม่ทั่วถึงเดี๋ยวเพื่อนกลุ่มอื่นน้อยใจ เลยไม่ไปเลยสักตี้ (เป็นคนแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากๆ เลยนะเนี่ย) 

หนังสือรวมเรื่องสั้น เบญจ์ อายุ 19 ปี ที่เติร์ดร่วมเขียน
หนังสือรวมเรื่องสั้น เบญจ์ อายุ 19 ปี ที่เติร์ดร่วมเขียน

24. เรื่องสุดท้ายที่หลายๆ คนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนจนถึงตอนนี้เลยคือ “เติร์ดเป็นนักเขียนด้วย” โดยได้ร่วมเขียนหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อว่า “เบญจ์ อายุ 19 ปี” สำนักพิมพ์ Avocado books ของ “ครูทอม-จักรกฤต โยมพยอม” ตอนครูทอมมาชวนไปเขียนได้ถามว่าเติร์ดเคยเขียนหนังสือไหม เติร์ดบอกว่าเคยเขียนนิยายลงเว็บเด็กดี แต่พอเริ่มเขียนต้นฉบับส่งครูทอมจริงๆ กลับเขียนออกมาเหมือนบทหนัง แน่นอนครูทอมให้ไปแก้ใหม่อีกนิด! 

25. สุดท้ายจริงๆ แล้ว เติร์ดฝากติดตามอัลบั้ม Tilly Birds It's Gonna Be OK หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเพลงเพื่อนเล่นไม่เล่นเพื่อน ถ้าเราเจอกันอีก และลู่วิ่ง อยู่ในอัลบั้มนี้ โดยเติร์ดบอกว่า อัลบั้มเป็นสิ่งที่นิยามตัวศิลปินได้ดีที่สุด ถ้าอยากรู้ว่าพวกเขา Tilly Birds เป็นคนแบบไหน ให้ติดตามเพลงในอัลบั้มนี้ได้ และอย่าลืมอ่านเรื่องสั้นของเติร์ดในหนังสือ “เบญจ์ อายุ 19 ปี” โดยเรื่องที่เติร์ดเขียนสะท้อนชีวิตช่วงหนึ่งของเติร์ดในวัย 19 ปีออกมาในบทของเบญจ์ แม้บางคนอ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่า “เติร์ดเป็นคนแบบนี้เหรอ” แต่เติร์ดบอกว่าอยากให้อ่านมาก เพราะเรื่องที่เติร์ดเขียนนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ได้น่าอายและน่าเกลียด เป็นเรื่องที่วัยรุ่นทุกคนต้องเจอ! (เอ๊ะ! เรื่องอะไรนะ ชักอยากรู้แล้วสิ)

About 3rd

“3rd Tilly Birds” หรือ “เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา” นักร้องนำวง Tilly Birds 

ความสามารถ นักร้อง นักแต่งเพลง เขียนบท กำกับ  ฯลฯ 

ผลงานล่าสุด 

ติดตามผลงานเติร์ดได้ที่

พี่ซาร่า
พี่ซาร่า - Columnist คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ Lifestyle

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น