จับจุด 7 ความแตกต่างของ "ชาย VS หญิง"
ตอนตกหลุมรักที่ช่วยให้นิยายสมจริงขึ้น
สวัสดีค่ะชาวนักเขียนเด็กดีทุกคน พี่น้ำผึ้งเชื่อว่าในการเขียนนิยายสักเรื่อง “ความรัก” เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องของเราจะเน้นความรักเป็นหลัก หรือความรักเป็นแค่องค์ประกอบเฉยๆ ถึงอย่างนั้น ความรักก็จัดว่าเป็นสิ่งสำคัญในนิยาย และการตกหลุมรักกันของตัวละครเองก็สำคัญไม่แพ้กัน!
แน่นอนว่าในวันนี้พี่น้ำผึ้งมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับเรื่องของ “การตกหลุมรัก” มาฝากค่ะ น้องๆ รู้มั้ยว่าเวลาที่คนเราตกหลุมรักเนี่ย ผู้ชายและผู้หญิงจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันนะ! อาทิเช่น ผู้ชายมักเป็นฝ่ายบอกรักก่อน ส่วนผู้หญิงชอบเป็นฝ่ายฟังคำบอกรัก แถมพฤติกรรมต่างๆ ที่ว่านี้ยังได้รับรองจากงานวิจัยด้วย ซึ่งพี่เชื่อเหลือเกินว่าความแตกต่างจะเป็นประโยชน์ต่อนักเขียนเด็กดีทั้งหลายเพื่อช่วยให้การสร้างลักษณะนิสัยของตัวละครเราสมจริงและแยบยลขึ้นค่ะ จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยดีกว่าจ้า
ผู้ชายมักสัมผัสได้ถึงอารมณ์รักเร็วกว่า
แม้ว่าภาพยนตร์หรือนิยายส่วนใหญ่จะทำให้เราเชื่อว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อนเสมอ แต่ผู้หญิงก็ไม่ได้ตกหลุมรักอย่างรวดเร็วหรอกนะ บอกเลย ซึ่งเรื่องนี้โจนาธาน และเดวิด เบนเน็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดตเปิดเผยกับเว็บไซต์ Bustle ว่า “ผู้ชายมักตกหลุมรักและแสดงความรู้สึกรักเร็วกว่าผู้หญิง แม้จะมีความเชื่อว่าผู้หญิงตกหลุมรักได้เร็วกว่าก็ตาม”
นี่เป็นเรื่องจริง เนื่องจากมีการทำวิจัยอย่างเป็นจริงเป็นจัง โดยงานวิจัย Women and Men in Love: Who Really Feels It and Says It First? ของแฮร์ริสันและชอร์ทอล์ในปี 2011 ได้สรุปว่า “ผู้ชายมักตกหลุมรักก่อน เนื่องจากผู้หญิงเป็นพวกระมัดระวังตัวเอง พวกเธอจะไม่รีบตกหลุมรักใครบางคนเพราะไม่ต้องการเป็นคนโง่เขลาในเรื่องความรัก”
ลองปรับใช้ในนิยายดูหน่อย: เอาล่ะ จากงานวิจัยข้างต้น พี่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในนิยายส่วนใหญ่ พระเอกถึงตกหลุมรักนางเอกก่อน ทีนี้เมื่อเรารู้แล้วว่าผู้ชายมักเป็นฝ่ายตกหลุมรักก่อนและผู้หญิงชอบระมัดระวังตัวเองไม่ให้ตกหลุมรักใคร มันจึงเป็นโอกาสดีของเราที่จะลองหยิบความจริงข้อนี้ไปปรับใช้ เช่น พระเอกตกหลุมรักนางเอกทันทีที่พบ แต่นางเอกไม่ได้ตกหลุมรักทันที และในขณะที่พระเอกพยายามตามจีบนางเอก เธอก็เริ่มหวั่นไหว ประมาณว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ
ผู้ชายมักเป็นฝ่ายบอกรักก่อน
“ผมรักคุณ” เป็นประโยคที่สาวๆ หลายคนอยากได้ยินมากที่สุดจากคนที่เรารัก โดยงานวิจัยชิ้นเดิมอย่าง Women and Men in Love: Who Really Feels It and Says It First? ของแฮร์ริสันและชอร์ทอล์ในปี 2011 ยืนยันว่า "ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะตกหลุมรักเร็วกว่าผู้หญิง" ซึ่งตรงข้ามกับความเชื่อยอดนิยมที่ว่า ผู้หญิงมักเป็นคนแรกที่แสดงออกมากกว่าในความสัมพันธ์เสมอ นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าผู้ชายมักเป็นฝ่ายบอก “รัก” ก่อนด้วย ในทางกลับกัน ผู้หญิงต่างหากที่มักระมัดระวังตัวเองมากกว่าผู้ชาย พวกเธอจะรอจนกว่าจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ใช่จริงๆ ถึงจะได้ฤกษ์ได้ยามพูดคำสำคัญอย่าง “ฉันรักเธอ” ออกไป
ลองปรับใช้ในนิยายดูหน่อย: อันนี้เห็นบ่อยแล้วเรื่องที่ผู้ชายบอกรักผู้หญิงก่อนในนิยาย แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนใหม่ให้เป็นผู้หญิงบอกรักผู้ชายก่อนก็ดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบนะ! จริงๆ แล้ว ถ้าหากผู้หญิงเป็นพวกระมัดระวังเรื่องความรักมากกว่าผู้ชาย การบอกรักก่อนของผู้หญิงก็เป็นอย่างหนึ่งที่เเสดงให้เห็นว่าเธอจริงจังกับผู้ชายคนนั้น เพราะงั้นลองแสดงความจริงใจของนางเอกที่มีต่อพระเอกด้วยการบอกชอบเขาก่อนสิ
ผู้หญิงมักบอกรักบ่อยกว่า
ก่อนเป็นแฟนกัน ผู้ชายมักเป็นฝ่ายแรกที่บอกรัก แต่ทันทีที่ผู้ชายและผู้หญิงตัดสินใจคบกัน ผู้หญิงต่างหากที่เป็นฝ่ายพูดคำว่า “ฉันรักคุณ” บ่อยกว่า! การันตีโดยงานวิจัย Emotion expression and the locution “I love you”: A cross-cultural study เลย งานนี้ ดร.ฟอร์ชี ที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์กล่าวว่า “งานวิจัย Cross-cultural ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายบอกรักบ่อกว่าผู้ชาย”
ในแง่วิทยาศาสตร์ ประโยคบอกรักมีความหมายต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงลิสต์เลยว่า 1 ใน 10 สิ่งโรแมนติกที่พวกเธอต้องการคือคู่รักพูดคำว่า “ผมรักคุณ” ตรงข้ามกับผู้ชายมองว่ามันไม่ใช่สิ่งโรแมนติก ดังนั้นหากผู้ชายรู้ว่าผู้หญิงพบว่า “ผมรักคุณ” เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเธอรู้สึกโรแมนติก ผู้ชายสามารถใช้มันเพื่อสื่อสารถึงสิ่งที่คนรักต้องการเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ได้
นอกจากนี้ ดร. ฟอร์ชียังเสริมต่ออีกว่า “จากมุมมองของวิวัฒนาการ การที่ผู้หญิงพูดว่า ‘ฉันรักคุณ’ อาจหมายถึงความผูกมัด และพวกเธอจะได้รับประโยชน์จากการพูดแบบนี้เพราะมันทำให้พวกเธอมั่นใจว่าสามารถจับคู่กับผู้ชายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากความจริงที่ว่า พวกเธอสามารถทำแบบนี้ซ้ำๆ กับเขาได้เฉพาะในช่วงที่คบกันเท่านั้น”
ลองปรับใช้ในนิยายดูหน่อย: ในความเห็นของพี่น้ำผึ้ง พี่มองว่าเทคนิคนี้เหมาะกับนิยายที่เป็นภาคต่อและตัวละครตัดสินในตกลงปลงใจเป็นแฟนกันแล้ว หากเราต้องการอยากให้ความสัมพันธ์ของตัวละครดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง การบอกรักกันสามารถช่วยกระชับความสัมพันธ์ของตัวละครได้ด้วย ในทางกลับกัน หากอยากให้ความสัมพันธ์ร้าวฉาน การบอกรักบ่อยๆ สามารถทำให้ตัวละครรู้สึกรำคาญใจจนนำไปสู่การมีปากเสียงได้ในทีุ่สด
ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะตกหลุมรักคนๆ เดียว
ลองมองย้อนกลับไปในช่วงมัธยมและนึกถึงคนที่เราแอบชอบทั้งหลายสิ เรามักให้ความสำคัญกับความรักที่มีต่อใครคนใดคนหนึ่งหรือเปล่า? หรือเรามักจะตกหลุมรักทุกคนที่เข้ามา? น้องๆ คะ มีงานวิจัยหนึ่งที่ชื่อว่า Love and dating experience in early and middle adolescence: grade and gender comparisons กล่าวว่า ผู้ชายวัยรุ่นมักตกหลุมรักผู้หญิงอย่างรวดเร็วและตกหลุมรักบ่อย กล่าวคือ ผู้ชายสามารถตกหลุมรักผู้หญิงได้หลายคนพร้อมกันในเวลาเดียว ขณะที่ผู้หญิงมีแนวโน้มจะตกหลุมรักผู้ชายคนเดียว! แน่นอน ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนจะให้ความสนใจแค่ผู้ชายคนเดียว และผู้ชายก็ไม่ได้ตกหลุมรักทุกคนพร้อมกันด้วย ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่า
ลองปรับใช้ในนิยายดูหน่อย: หากพระเอกของเราเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ล่ะก็ ลงล็อคเลย เพราะหนุ่มน้อยของเราอาจตกหลุมรักผู้หญิงหลายคนได้ในเวลาเดียวกัน แถมหนึ่งในบรรดาสาวๆของเขานั้นยังมีนางเอกผู้จริงจังที่เดตคนเพียงแค่คนเดียว เมื่อทั้งสองโคจรมาเจอกัน เรื่องราวชุลมุนชวนปวดหัวน่าจะเกิดขึ้น ก็แหม...มายเซ็ตมันไม่ตรงกันตั้งแต่แรกแล้วนี่นา หรือน้องๆ คิดว่ายังไงล่ะ?
ผู้ชายมักตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ
“ผู้ชายมักตกหลุมรักได้ง่ายๆ จากระยะไกล พวกเขารู้ทันทีเลยว่าตัวเองกำลังตกหลุมรัก” โจนาธาน และเดวิด เบนเน็ตกล่าว “ส่วนผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะประเมินความรู้สึกรักบนพื้นฐานของการดึงดูดทางกายภาพพร้อมกับปัจจัยอื่นๆ ทั้งเรื่องศักยภาพและบุคลิกของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้หญิงอาจใช้เวลานานกว่าหน่อยในการดูใจ เนื่องจากเธอต้องการคู่รักที่มีศักยภาพ และบุคคลนั้นสามารถเติบโตไปพร้อมกับเธอได้เมื่อเวลาผ่านไป” สิ่งนี้จึงสามารถสรุปได้เลยว่า ปรากฏการณ์ “รักแรกพบ” มีอยู่จริง และมันสามารถเกิดขึ้นกับผู้ชายได้บ่อยกว่าผู้หญิง เนื่องจากผู้ชายมักตกหลุมรักจากการมองเห็น เช่น ความสวยหรือบุคลิกของผู้หญิงคนนั้น ตรงข้ามกับที่ผู้หญิงตกหลุมรักเพราะความใกล้ชิดและมีการสัมผัสกันทางกายภาพ
ลองปรับใช้ในนิยายดูหน่อย: ในเมื่อมีงานวิจัยรับรองมาซะขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงว่าแนวรักแรกพบจะกลายเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ น้องๆ สามารถหยิบคุณสมบัติข้างต้นมาปรับใช้กับพระนางของเราได้ตามสะดวกเลย (แต่อย่าลืม ผู้หญิงตกหลุมรักจากความใกล้ชิด ส่วนผู้ชายตกหลุมรักจากการมองเห็น)
ผู้ชายและผู้หญิงมองหาคนที่มีนิสัยคล้ายๆ กัน
แม้คนที่แตกต่างจากเราสุดขั้วจะทำให้เรารู้สึกท้าทายและสนใจ แต่เมื่อมันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่จริงจัง ทั้งเพศชายและหญิงกลับต้องการคนที่มีความสนใจและความชอบเหมือนกัน รวมทั้งต้องการคนที่มีลักษณะนิสัยคล้ายๆ กัน สำหรับเรื่องนี้ ดร.ฟอร์ชีกล่าวว่า “โดยรวมแล้ว ผู้ชายและผู้หญิงมองหาคนที่มีความชอบเหมือนกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว รวมทั้งต้องเป็นคนที่มีลักษณะคล้ายๆ กันด้วย เช่น มีความเมตตา มีสติปัญญา มีความเข้าใจ และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องเป็นคนที่รักพวกเขาเช่นเดียวกับที่พวกเขารัก”
ลองปรับใช้ในนิยายดูหน่อย: สร้างตัวละครที่มีลักษณะนิสัยคล้ายๆ กัน หรือมีความชอบคล้ายคลึงกันสิ จากนั้นจับพวกเขามาเจอกัน รับรองว่าเคมีตรงกันแน่นอน เผลอๆ คู่รักคู่นี้อาจกลายเป็นคู่รักขวัญใจของนักอ่านก็ไดนะ หากไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เคมีของทั้งคู่ตรงกัน ลองอ่านบทความ Chemistry: หัวใจสำคัญในการสร้างนิยายรัก ดูสิ
ผู้ชายมีความไม่มั่นคงทางอารมณ์ในเรื่องความรัก
ความไม่มั่นคง (insecure) ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเอะอะผู้ชายจะนอกใจ แต่หมายความว่าผู้ชายมักกลัวว่าความสัมพันธ์นี้จะไปไม่รอดต่างหาก! จึงทำให้มีพฤติกรรมต่างๆ เช่น ติดแฟน ชอบถูกเอาใจ ชอบคุมความสัมพันธ์ งอนเก่ง หรือแม้กระทั่งห่างกันไม่ได้ อ่านดูแล้วเหมือนเป็นอาการของผู้หญิงส่วนใหญ่เลย แต่ใครจะรู้ ผู้ชายต่างหากที่มีความ insecure สูงกว่าผู้หญิง!
ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่เป็นที่นิยม เมื่อมันเป็นเรื่องของความรักและความสัมพันธ์ ผู้ชายมีแนวโน้มจะแสวงหาสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ความมั่นคงและการตอบสนองจากคนรัก เมื่อใดก็ตามที่ผู้ชายเริ่มต้นความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่พวกเขามีความมั่นใจจริงๆ ด้วยว่าจะลงหลักปักฐาน พวกเขาจะทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์นั้น และเมื่อความพยายามของพวกเขาไม่ได้รับการตอบสนอง หรืออีกฝ่ายเมินเฉย ผู้ชายจะเริ่มรู้สึกว่านั่นไม่ถูกต้องและรู้สึกเหมือนกับว่าความรักของพวกเขานั้นไร้ประโยชน์ ราวกับว่าผู้หญิงคบกับเขาเพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น โอ้ แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ!?
ลองปรับใช้ในนิยายดูหน่อย: หากน้องๆ คิดไม่ออกว่าจะสร้างปมความขัดแย้งระหว่างตัวละครยังไง การให้ตัวละครของเรามีความ insecure จัดว่ามีเสน่ห์ไปอีกแบบ และในตอนท้ายของเรื่อง อย่าลืมให้ตัวละครของเราเติบโตและได้เรียนรู้บางอย่างจากความสัมพันธ์ด้วยนะคะ นักอ่านจะได้ข้อคิดบางอย่างกลับไปด้วย
เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะกับเรื่องที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ พี่หวังเหลือเกินว่ามันจะช่วยจุดประกายไอเดียให้แก่น้องๆ ได้ ลองนำความแตกต่างของผู้ชายและผู้หญิงเวลาตกหลุมรักไปใช้เป็นองค์ประกอบในนิยายของเราดูนะคะ พี่ค่อนข้างมั่นใจว่ามันอาจช่วยให้งานเขียนของเราสมจริงขึ้นได้ ส่วนถ้าใครอยากเสริมความแข็งแกร่งเกี่ยวกับเรื่องการสร้างตัวละครให้ตกหลุมรัก ลองไปอ่านบทความ 7 ข้อง่ายๆ ของคนตกหลุมรักที่ช่วยให้ตัวละครอินเลิฟแบบสมจริงดูนะ เป็นประโยชน์แน่นอนจ้า
พี่น้ำผึ้ง :)
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.nytimes.com/2004/03/16/health/in-sex-brain-studies-show-la-difference-still-holds.html
https://www.psychologytoday.com/us/blog/it-s-man-s-and-woman-s-world/201407/who-craves-relationships-more-men-or-women
ขอบคุณงานวิจัย
Women and Men in Love: Who Really Feels It and Says It First?
Emotion expression and the locution “I love you”: A cross-cultural study
Love and dating experience in early and middle adolescence: grade and gender comparisons
ขอบคุณรูปภาพจาก unsplash.com
7 ความคิดเห็น
ตรงครับ5555
หูย มีประโยชน์มากๆเลย รู้สึกมาถูกทางนิดนึงแล้ว ขอบคุณมากนะคะ
แต่มายืนยันอีกเสียงว่าผู้หญิงจะตกหลุมรักจากความใกล้ชิดสนิทสนมจริงๆ
เพราะขนาดผู้หญิงด้วยกันพอเราสนิทใจด้วยเรายังหวั่นๆเลย
ขอบคุณค่ะ บทความมีประโยชน์มากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ จะนำไปปรับใช้กับนิยายตัวเองเลยค่ะ ^^
มีประโยชน์มากๆเลยครับขอบคุณครับ
ทำไมอ่านบทความนี้เเล้วยิ้มไม่หุบเลย เขินมากกกกก โดยเฉพาะ "ผู้ชายมักตกหลุมรักจากการมองเห็น ตรงข้ามกับที่ผู้หญิงตกหลุมรักเพราะความใกล้ชิดและมีการสัมผัสกันทางกายภาพ" โอ๊ยยยยย เขินนนนน
ขอบคุณนะคะ >///////<
ขอบคุณ