สวัสดีน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคนค่า~ ช่วงนี้ โครงการ Work & Travel กำลังเปิดรับสมัครรัวๆ เลย เชื่อว่าน้องๆ ที่จะไปเวิร์กปีนี้อาจเพิ่งไปสัมภาษณ์วีซ่ามา หรือบางคนก็อาจกำลังเก็บข้อมูลเตรียมตัวสมัครกันอยู่ (พอเห็นค่าจ้างในบางงานแล้วตื่นตาตื่นใจไม่ไหวเลยค่ะ)
พี่ลูกหมูเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมโครงการนี้มาก่อน วันนี้เลยอยากจะมาแชร์สิ่งที่ควรรู้ไว้ รวมถึงได้รวบรวมข้อมูลจากเพื่อนๆ หลายคนที่มีประสบการณ์เข้าร่วมโครงการนี้ สรุปไว้ให้ 10 เรื่องที่น้องๆ ที่จะไป WAT ได้เตรียมตัว (และเตรียมใจ) เพื่อที่จะได้ไปทำงานและท่องเที่ยวกันแบบจอยๆ แฮปปี้ๆ ไม่เฟลกันเนอะ~
ต้องบอกว่านักศึกษาหลายคนรู้จักโครงการ Work & Travel กันดีเลยค่ะ เพราะเป็นโครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย (อายุ 18-28 ปี) ได้เดินทางไปทำงานและท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาสั้นๆ โดยปกติจะอยู่ที่ 3-4 เดือน ซึ่งโครงการนี้ได้รับความนิยมมากในหมู่นักศึกษาไทยที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในต่างแดนและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กัน
แน่นอนว่าการไป Work & Travel ก็มีข้อดีต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น การได้ใช้และพัฒนาทักษะภาษาจริงๆ กับ English speakers ได้พบปะเพื่อนใหม่ๆ จากหลายชาติ ได้ประสบการณ์การทำงาน ได้เงิน การได้ไปเที่ยวที่ต่างๆ ในอเมริกา ที่สำคัญคือการได้ออกจาก Comfort zone เพิ่มความท้าทายให้กับตัวเองและช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตต่างแดนมากขึ้น เรียกว่าเป็นประสบการณ์วัยมหา’ลัยที่อาจหาจากที่ไหนไม่ได้เลยล่ะค่ะ
จากประสบการณ์ของพี่เองและหลายๆ คนรอบตัว พอกลับมาก็มีความกล้าใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นเยอะเลย บางทักษะที่ไม่เคยได้ใช้หรือบางอย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะทำได้ พอได้มา WAT ก็ช่วยปลดล็อกสกิลแบบรอบด้านเลยค่ะ ทำให้เราได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นในอีกระดับอีกด้วย (ข้อดีอื่นๆ ก็มีอีกเช่น การได้พบปะมิตรภาพ ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเพื่อนชาวไทยและต่างชาติที่นั่น หรือบางคนก็ได้สร้าง Connection กับนายจ้าง อาจช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานในอนาคตอีกด้วย)
_____________
1. การทำงานที่อาจจะไม่เป็นไปตามข้อตกลง
ข้อแรกนี้ส่วนใหญ่จะมีมาให้ได้ยินเรื่อยๆ เลยค่ะ หลายคนอาจเจอกับการทำงานที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลง เช่น โดนให้กลับบ้านก่อน อยู่ทำงานไม่ครบชั่วโมง อย่างในสัญญาจ้างบอกให้ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่ได้ทำจริงแค่ 5 ชั่วโมงบ้าง 4 ชั่วโมงบ้าง (ซึ่งเงินก็จะได้แค่ตามจำนวนชั่วโมงที่เราทำ) รวมไปถึงโดนหักค่าแรง ไม่ได้รับตามจริงตามที่แจ้งหรือตามที่เอเจนซีโฆษณาไว้ หรือถ้าหนักหน่อยก็โดนบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดก็มีเหมือนกัน // วุ่นต้องหางานใหม่อีก TT
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น บางคนก็อาจจะเจอนายจ้างไม่ดี พูดจาไม่ค่อยโอเค หรือเอารัดเอาเปรียบเราบ้าง หรือสมัครมาตำแหน่งนี้ แต่โดนให้ไปทำอีกตำแหน่ง เป็นต้น
_____________
2. เจอเพื่อนต่างชาติแปลกๆ
การได้เจอเพื่อนต่างชาติใหม่ๆ มันก็ดีนะคะ แต่บางทีเราก็อาจจะได้เจอเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนร่วมห้องนิสัยแปลกๆ เพราะแน่นอนว่าต่างคน ต่างที่มา ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ซึ่งเราก็อาจจะเจอพฤติกรรมที่ชวนงงๆ อยู่หลายครั้ง แม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้วแต่ก็รู้สึกไม่เข้าใจอยู่ดี เช่น เพื่อนไปเดินหาดทรายแล้วใส่รองเท้าเข้าห้อง หนักหน่อยก็ใส่ขึ้นเตียงเลย หรือเราเข้าห้องน้ำกำลังอาบน้ำ จู่ๆ เพื่อนต่างชาติก็มาเคาะประตูว่าจะเข้าห้องน้ำตอนนี้ เดี๋ยวนี้ (งงม้ากกก) หรือหนักหน่อยบางคนแอบขโมยของในห้องเราก็มีค่ะ!
อย่างในส่วนของเพื่อนร่วมงานก็อาจจะมีดีมีแย่ปะปนกันไป เช่น ถ้าโชคไม่ดีหน่อยก็เจอเพื่อนอู้งาน ปล่อยให้เราทำอยู่คนเดียว หรือมีการแย่งลูกค้ากัน // ของพี่เคยเจอแปลกสุดเลยคืออยู่ดีๆ ก็เดินมาหยิกเราซะงั้น 55555
_____________
3. โดนเอเจนซีลอยแพ
อีกหนึ่งปัญหาที่เด็ก WAT อาจพบเจอก็คือ โดนเอเจนซีลอยแพค่ะ ซึ่งหมายถึงการจ่ายเงินค่าโครงการไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นได้ทั้งตอนอยู่ไทยและอยู่อเมริกาเลยค่ะ
ยกตัวอย่างเคสตอนอยู่ไทย เช่น ไม่จัดการด้านเอกสารให้ ไม่ดูแลเรื่องงานให้ สมัครงานไปอีกอย่างได้งานอีกอย่าง (ที่ไม่ได้อยากทำ) หรือเมื่อไปถึงอเมริกาแล้วเอเจนซีเงียบหาย ปล่อยให้เราประสบพบเจอปัญหา หาทางแก้ปัญหาเอาเอง ซึ่งถ้ามองเป็นประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็อาจจะเป็นข้อดีเหมือนกัน แต่เราเองก็ไม่อยากรู้สึกเคว้งคว้างอะเนอะ TT
ซึ่งพี่ลูกหมูแนะนำว่าเราควรหาเอเจนซีที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ ให้การดูแลอย่างจริงใจ โดยอาจจะอ่านรีวิวหรือขอคำแนะนำจากรุ่นพี่ที่เคยไปมาก็ได้ค่ะ ลองถามหลายๆ คนและเปรียบเทียบดูว่าบริษัทไหนน่าสนใจ และให้การดูแลดีจริงตั้งแต่ต้นยันจบโครงการ
_____________
4. กฎเป็นกฎ ห้ามละเลย!
การอยู่ที่อเมริกา เราต้องปฏิบัติตามกฎที่นี่อย่างเคร่งครัดเลยนะคะ เพราะถ้าเราละเมิดกฎ เราอาจจะโดนส่งกลับไทยหรืออาจจะโดนจับได้เลย เช่น พี่ลูกหมูเคยได้ยินมาว่า มีคนทำงานร้านอาหารแล้วเอาซอสกลับบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าผิดกฎ สุดท้ายโดนจับติดคุก หรืออย่างข้ามถนนต้องข้ามทางม้าลายเท่านั้น ถ้าแอบข้ามทางที่ไม่ใช่ทางม้าลายจะโดนตำรวจเรียกทันทีค่ะ
และที่สำคัญนะคะ สำหรับใครที่เป็นสาย Party ต้องรู้ก่อนไว้เลย เพราะที่อเมริกามีกฏว่าจะเข้าผับได้ต้องอายุ 21 ขึ้นไปนะคะ เพราะฉะนั้นใครที่อายุยังไม่ถึงอย่าได้ฝืนแอบเข้าไปเด็ดขาด! (เตือนแล้วนะ) นอกจากนี้เราไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับสารเสพติดหรือสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดเลยนะคะ
_____________
5. วัฒนธรรมแบบอเมริกันสไตล์
แค่ขึ้นชื่อว่าเป็นอเมริกัน แน่นอนเรื่องวัฒนธรรมย่อมมีความหลากหลายและมีความยูนีค เช่น การทักทายแบบจับมือ การไม่ถอดรองเท้าเข้าห้อง รวมไปถึงการเข้างานที่ตรงเวลามากๆ ห้ามสายเด็ดขาด! และที่สำคัญเลยคือเรื่องของการให้ Tips ไม่ว่าเราไปกินข้าวที่ร้านอาหาร หรือขึ้นแท็กซี่ เราจะต้องให้ทิป 15-20% เสมอ นอกจากนี้คนอเมริกันให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัว (Privacy) ไม่ชอบให้ใครถามเรื่องเงินเดือน อายุ หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวมากนัก เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากตีซี้กับใคร เราต้องดูให้ดีก่อนน้า ไม่งั้นอาจเป็นการละเมิดคนอื่นโดยไม่รู้ตัวค่ะ
_____________
6. รายได้จากงานไม่เป็นตามหวัง
ด้วยความที่อเมริกาเป็นอีกประเทศที่ค่าครองชีพสูง เงินที่ได้จากการทำงานก็ต้องใช้อยู่ ใช้กิน ใช้จ่ายค่าบ้าน ซึ่งแพงมาก (นอกจากว่าจะได้งานที่มีบ้านพักให้ฟรี+มีอาหารฟรี แบบนั้นก็โชคดีไปค่า) รวมไปถึงปัญหาต่างๆ ข้างต้นเช่น โดนลดชั่วโมงการทำงานบ้าง เงินได้รับน้อยกว่าเรทที่แจ้งบ้าง ซึ่งอาจจะทำให้เราไม่ได้เงินตามที่เราตั้งเป้าไว้ หรือบางคนอาจจะขาดทุนจากโครงการนี้ ไม่ได้เงินเก็บกลับไปสักบาท เพราะฉะนั้นขอแนะนำว่าควรเผื่อใจเรื่องนี้ไว้ และที่สำคัญคือ ไม่ควรกู้เงิน หรือยืมเงินเพื่อมาโครงการนี้ นะคะ
_____________
7. ภาษาไม่แข็งพอ อาจจะใช้ชีวิตลำบาก
ภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญสุดๆ เลยค่ะ แม้ว่าเราตั้งใจจะมาฝึกทักษะที่นี่ แต่ก่อนมาก็ควรสื่อสารได้ดีพอสมควร เพราะเราต้องใช้คุยกับนายจ้าง พูดคุยกับลูกค้า หรือพูดคุยกับเพื่อนๆ และด้วยความที่นี่ทุกคนล้วนเป็น Native Speaker บางทีก็อาจจะพูดเร็ว หรือใช้ศัพท์สแลง ซึ่งก็อาจจะทำให้เราฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจได้ค่ะ
// พี่ลูกหมูก็เคยได้ยินมาบ้างว่า บางคนสื่อสารกับเจ้านายไม่ได้แล้วโดนไล่ออก หรือโดนให้เปลี่ยนงานก็มีเหมือนกัน แต่ก็อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ ระหว่างรอไป WAT ยังมีเวลาอยู่ ระหว่างนี้ก็ฝึกภาษาติดตัวไว้ให้แน่นๆ พอบินไปหน้างานจริงจะได้สื่อสารได้มั่นใจมากขึ้น
_____________
8. อาจจะเจอการเหยียดชาติ
อีกปัญหาที่อาจเจอได้ คือ เรื่องของการโดนเหยียด (racism) ถึงแม้ว่าอเมริกาจะเป็นประเทศที่มีความคิดเสรี ค่อนข้างสมัยใหม่ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่นั่นคนเอเชียบางคนยังโดนเหยียดอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปไหนน้อง ๆควรมีเพื่อนไปด้วยนะคะ และ ควรหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนคนเดียวในตอนกลางคืน
รวมไปถึงเมืองใหญ่บางแห่ง เช่น New York, Los Angeles, หรือ Chicago อาจมีบางเขตที่อันตราย (บางพื้นที่อาจมี Homeless เยอะ) เราจึงควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ก่อน เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองนะคะ
_____________
9. สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
ต่อจากประเด็นเรื่องความปลอดภัย เรื่องสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ เพราะสภาพอากาศที่อเมริกานั้นแตกต่างจากบ้านเรามาก และแปรปรวนสุดๆ ทั้งแดด ฝน หิมะ พายุ มีครบ! ซึ่งพี่ลูกหมูจำได้ว่าเคยไปเดินริมทะเล อยู่ดีๆ พายุก็เข้าค่ะ ต้องวิ่งหนีกับเพื่อนๆ กันจ้าละหวั่นเลย อีกเรื่องคือ ไปเล่นน้ำทะเล โดยไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นมีฉลามค่ะ (ดีที่ไม่โดนงาบไปซะก่อน) // เพราะฉะนั้นเราควรศึกษาสภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมที่ที่เราอยู่บ้างนะคะ ติดตามอัปเดตข่าวพยากรณ์อยู่เรื่อยๆ ไว้ด้วยก็ดีค่า
_____________
10. ชีวิตไม่ได้สวยหรูเหมือนภาพในไอจี
สุดท้ายนี้ การมา Work & Travel ที่อเมริกา อาจจะไม่ได้สวยหรูติดแกลมเหมือนอย่างที่เราคิด บางคนตั้งใจว่าจะมา Make Money สรุปเงินที่ได้ก็หมดไปกับค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเที่ยว หรือกะจะมาทำงานจุกๆ แต่ความเป็นจริงคือ โดนลดชั่วโมงการทำงาน ค่าแรงไม่ได้ตามที่แจ้ง หา Second Job ไม่ได้ หรือบางทีก็อาจโดนลอยแพ
หรือน้องๆ บางคนมาโครงการนี้กับเพื่อนสนิทแต่เกิดปัญหาแล้วดันทะเลาะกัน หรือเข้ากับเพื่อนใหม่ไม่ได้จนเกิดความเครียด ไหนจะอาการ Homesickness คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ (อยู่ไทยก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าเลยยย) อยากจะบอกว่าทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ อันไหนที่แก้ได้ก็ลองพยายามหาทางแก้ไขดูค่ะ แล้วให้คิดซะว่าเรามาหาประสบการณ์ชีวิตที่หาไม่ได้จากที่ไหน ครั้งหนึ่งสมัยวัยรุ่นเราเคยได้มาใช้ชีวิตที่นี่ และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบทเรียนที่จะทำให้เราเป็นเราในเวอร์ชันที่ดีขึ้น
และอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ การขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจจะมีผลในเรื่องของการออกวีซ่า หรือการจำกัดคนต่างชาติเข้ามาทำงานต่างๆ แม้ว่า Visa J-1 Student จะเป็นวีซ่าที่ถูกกฎหมาย แต่อัตราการโดนปฏิเสธก็มีพอสมควร พี่ลูกหมูก็ขอแนะนำไว้ว่าการติดตามข่าวสารและนโยบายต่างๆ อย่างสม่ำเสมอนะคะ เพื่อที่จะเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงหรือเตรียมแผนสำรองค่า
อ่านบทความฉบับเต็ม คลิก
สุดท้ายนี้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ได้จะทำให้น้องๆ ถอดใจนะคะ แต่นี่เป็นเพียงสิ่งที่ควรรู้ไว้จะได้เตรียมตัวและเตรียมใจ เพราะบางทีเราอ่านรีวิวคนอื่นแล้วล้วนมีแต่เรื่องดีๆ หรือเคยเห็นภาพในไอจีคนอื่นไปที่เวิร์กแล้วดูเริด ซึ่งหลายคนเค้าก็เลือกที่จะโพสต์แต่เรื่องดีๆ ภาพสวยๆ แต่เบื้องหลังอาจแลกมาด้วยหยดน้ำตาก็เป็นได้
ทุกอย่างล้วนมีทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่ไม่ว่าจะสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยมันก็คือประสบการณ์ชีวิตของเราให้เราได้เรียนรู้และเติบโตค่า YOLO - You Only Live Once~
_____________
สำหรับใครที่มองหาโอกาสโกอินเตอร์ ตอนนี้มีหลายทุนกำลังเปิดรับสมัคร
ตามไปเช็กกันต่อได้เลยที่ "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก by Dek-D"
ติดตามทุนต่อนอกง่ายๆ กับ Dek-D
- Website: www.dek-d.com/studyabroad
- X: @tornokandcourse
- IG: @tornokandcourse
- Facebook: Study Abroad เรียนต่อนอก by Dek-D
- Facebook: Study Guide ไปเรียนต่อนอกกันเถอะ
- TikTok: @tornokandcourse
0 ความคิดเห็น