ส่งตรง 7 บทเรียนจากห้านักเขียนที่จะทำให้เราอยากพยายามเพื่อความฝันอีกครั้ง!

ส่งตรง 7 บทเรียนจากห้านักเขียน
ที่จะทำให้เราอยากพยายามเพื่อความฝันอีกครั้ง!

ใครที่กำลังหมดไฟ หรือเขียนนิยายต่อไม่ออก พี่แนนนี่เพนได้รวบรวมบทเรียน 7 ข้อจากนักเขียนมากฝีมือมาให้น้องๆ ได้ศึกษาเรียนรู้ และหวังว่าจะเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ ได้ โดยบทเรียนจากนักเขียนทั้งห้าคน ได้แก่ หน่วยกล้าวาย, ร.เรือในมหาสมุท, ล. โลกลัลล้า, นาวาร้อยกวี และกัญฉัตร เป็นบทเรียนที่พี่รวบรวมมาจากการสัมภาษณ์นักเขียนเพื่อลงคอลัมน์พบปะพูดคุย ซึ่งหากน้องๆ คนไหนอยากตามติดเรื่องราวชีวิตของนักเขียนเหล่านี้ต่อสามารถคลิกเข้าไปที่ชื่อของนักเขียนได้เลย ส่วนใครที่อยากรู้ว่าบทเรียนทั้ง 7 ข้อที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ นั้น มีอะไรบ้าง เรามาตามดูกันเลยค่ะ 

1. ทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนกัน 

บทเรียนที่ดีที่สุดที่อยากนำมาเล่าให้น้องๆ ฟัง ก็คือเรื่องของ 'มิ้ว' นักเขียนนิยายวาย เจ้าของนามปากกา 'หน่วยกล้าวาย' ที่หลายๆ คนน่าจะรู้จักเธอจากนิยายเรื่อง 'เกมเมอร์และน้องเด๋อของเขา' จุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่อยากเล่าก็คือเรื่องที่เธอปลอมตัวมานั่นเอง จริงๆ แล้วก่อนที่มิ้วจะมาเขียนนิยายวายเธอเป็นนักเขียนนิยายแนวแฟนฟิคมากว่าสิบปี หากใครอยู่ในวงการแฟนฟิคเกาหลีน่าจะรู้จักนามปากกา 'มลินเวิว' (MALINWORLD) กันอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อมิ้วเปลี่ยนนามปากกาใหม่เป็นหน่วยกล้าวาย สมัครไอดีเด็กดีเพื่อสร้างนิยายเรื่องใหม่ เปิดแอคทวิตเตอร์ใหม่ และเปิดเพจในเฟซบุ๊กที่ไม่มีฐานแฟนคลับเดิมเลย เมื่อทุกอย่างใหม่หมด ผลที่ได้ควรจะเป็นอย่างไรกันคะ? 

ถ้าเราเจอนิยายเปิดใหม่ นักเขียนนามปากกาใหม่ สิ่งที่นักอ่านอย่างเราสนใจคือพล็อตเรื่อง และการเล่าเรื่องของนักเขียน มิ้วได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่านิยายของเธอดีพอที่จะทำให้นักอ่านสนใจ อยากเข้ามาอ่าน และติดตามนิยายทุกเรื่องของเธอต่อจากนี้ มิ้วทำให้เราเห็นว่า ความพยายาม และฝีมือการเขียนที่ต่อให้เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกกี่ครั้ง 'ความเป็นตัวเธอ' ก็จะดึงดูดนักอ่านให้อยากติดตามผลงานดีๆ ต่อไปได้แน่นอน เพราะฉะนั้น อย่ากลัวการเริ่มต้นจากศูนย์ แม้ว่ามิ้วจะมีต้นทุนมาจากการเขียนมาแล้วหลายปี แต่กว่าจะเขียนได้ดีอย่างทุกวันนี้ เธอก็ต้องผ่านจุดเริ่มต้นที่ยากลำบากมาเหมือนกัน ดังนั้น นี่คือบทเรียนจากมิ้วถึงนักอ่านที่กำลังกลัวการเริ่มต้น

"การเริ่มต้นอาจจะยาก แต่ให้คิดซะว่าตอนนี้ยังไม่มีใครรู้จักเรา ทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนกัน ดังนั้นกำลังใจแรกให้มาจากตัวเองก่อน เริ่มจากชอบงานเขียนของตัวเองก่อน อย่าโฟกัสเรื่องคอมเมนต์มากเกินไป เพราะบางทีมันทำให้เราจดจ่ออยู่กับตรงนั้นจนหมดสนุกกับการเขียนไปได้" 

2. อย่าพยายามเป็นคนอื่น

แม้ดูเหมือนว่าหน่วยกล้าวายจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนักเขียน แต่ความจริงแล้วเธอก็มีมุมทุกข์ใจเหมือนกัน เมื่อก่อนเธอมองว่างานเขียนที่ดี คือ งานเขียนที่มีภาษาสวย แต่งานของเธอกลับเป็นงานที่เขียนเพื่อให้อ่านแล้วเข้าใจเท่านั้น นอกจากนี้ เธอยังต้องคอยรับมือกับนักอ่านที่เข้ามาคอมเมนต์ติชมงานของเธอว่าไม่สนุก เป็นนิยายแนวตลาด หาอ่านได้ทั่วไป ซึ่งคอมเมนต์เหล่านี้ เกือบทำให้เธอท้อและหมดหวังในงานเขียน แต่น้องสาวคนสนิทได้พูดให้กำลังใจเธอว่า ‘พี่มิ้ว นิยายเราก็เหมือนฟาสฟู้ด มันไม่ดีต่อสุขภาพหรอก แต่อร่อย’ ซึ่งคำพูดของน้องสาวคนนี้ ทำให้หน่วยกล้าวายคิดได้และเขียนนิยายให้เป็นตัวของตัวเอง 

"ตอนนั้นคิดว่า เออ ทำไมเราต้องอยากหนีความเป็นตัวเองด้วย แมสแล้วมันแย่ตรงไหน เราไม่ได้ทำร้ายใครนะ ทำไมเราต้องเก็บคำพูดคนไม่กี่คนมาใส่ใจ ขณะที่ยังมีอีกหลายคนชอบงานเขียนเรานะ มันอาจจะไม่ดีที่สุดหรอก แต่ถ้ามันทำให้ตัวเรามีความสุขตอนเขียนได้ และคนอ่านก็ส่งฟีดแบคมาให้อ่านว่าเขาแฮปปี้มาก โอเค แค่นี้พอแล้ว ไปๆ หาส้มตำกินแล้วหาไอเดียใหม่ๆ กัน!"

3. ต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

นักเขียนคนต่อมาที่พี่อยากพูดถึงก็คือ 'ลี้'  ร เรือในมหาสมุท นักเขียนรางวัลซีไรต์เจ้าของผลงาน “สิงโตนอกคอก” หนังสือรวมเรื่องสั้นแฟนตาซีแนวดิสโทเปียที่กลายเป็นหนังสือเล่มโปรดของนักอ่านหลายๆ คนนั่นเอง ลี้เป็นนักเขียนที่เขียนนิยายได้เข้าถึงคนอ่านและสะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่เราอยู่ได้ดีมากๆ  แต่กว่าจะมีวันนี้ ลี้เองได้ให้บทเรียนกับเราว่า ฉากหน้าที่เรามองเธอว่าประสบความสำเร็จนั้น เราจะเห็นเธอแค่ในตอนที่มีแสงสว่างเท่านั้น ช่วงเวลาที่ทุกข์ใจ หรือช่วงที่เธอรู้สึกท้อแท้ ช่วงเวลาเหล่านั้น ไม่มีใครมองเห็น ทุกคนมองเห็นเพียงแค่ความสำเร็จเท่านั้น ดังนั้น นี่จึงเป็นบทเรียนหนึ่งที่พี่อยากให้นักอ่านทุกคนได้รู้ว่า เส้นทางนักเขียนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความสำเร็จที่เรามองเห็น ล้วนเต็มไปด้วยความพยายามและความอดทน ดังที่ลี้ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ดังนี้

"นักเขียนที่เขียนนิยายอยู่ในเด็กดีคงรู้กันอยู่แล้ว กว่าจะได้ต้นฉบับนิยายแต่ละเรื่อง มันใช้เวลาในการเขียน ใช้ความอดทน ใช้วินัย ใช้พลังกาย ใช้กำลังใจ มันต้องใช้หลายๆ อย่าง กว่านิยายจะเสร็จ เสร็จแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะเข้ามาอ่าน มาคอมเมนต์ มันอาจจะเงียบเหมือนป่าช้า และมันก็ไม่ได้หมายความว่านิยายของเราจะต้องได้ตีพิมพ์แน่ๆ การเป็นนักเขียนคือการเผชิญหน้ากับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า มันคือความผิดหวังและการปฏิเสธที่ยาวนานมากๆ"

4. อย่าลืมนึกถึงนักอ่าน

'นาวาร้อยกวี' ที่หลายคนคุ้นเคยและรู้จักเธอจากนิยายรักชื่อดังอย่างเรื่อง 'จนกว่ารักบันดาลใจ' และผลงานนิยายเรื่อง 'อกเกือบหักแอบรักคุณสามี' ที่ตอนนี้กำลังถูกนำไปสร้างเป็นละครจากช่องสาม เธอเป็นนักเขียนอีกคนที่เขียนนิยายมานานมาก และรับรู้ถึงปัญหาที่นักเขียนทุกคนต้องเจอเป็นอย่างดี โดยอุปสรรคที่นาวาร้อยกวีรู้สึกกลัวเช่นกัน ก็คือ ความรู้สึกอิ่มตัวและหมดไฟ ซึ่งพี่เห็นด้วยมากๆ ว่าสาเหตุของการหยุดเขียนนิยายส่วนใหญ่ มาจากสองปัจจัยนี้เป็นหลัก นักเขียนที่เขียนนิยายมานานจะรู้สึกอิ่มตัว และอยากหยุดพัก เมื่อหยุดเขียนไปนานๆ ก็จะรู้สึกหมดไฟ หาแรงบันดาลใจไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะดึงเราให้อยู่กับงานเขียนได้ในความเห็นของนาวาร้อยกวีก็คือ การนึกถึงคนอ่านของเรานั่นเอง 

"อุปสรรคสำคัญของการเป็นนักเขียน คือ ความรู้สึกอิ่มตัวและหมดไฟค่ะ มันน่ากลัวมากสำหรับตัวเอง เราต้องพยายามกระตุ้นตัวเองเสมอว่าอย่าท้ออย่าล้มเลิกความตั้งใจ เพราะยังมีอีกหลายคนที่อาจจะได้รับประโยชน์จากงานเขียนของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ"

5. โลกที่ไม่มีนิยายเป็นอย่างไร

'เอิร์ธ' ล.โลกลัลล้า เป็นนักเขียนอารมณ์ดีที่เขียนนิยายด้วยความสุขจำนวนมหาศาล เธอเป็นนักเขียนที่เคยหมดไฟมาก่อน และกลับมาอีกครั้งด้วยความยิ่งใหญ่กับนิยายเซ็ตยูนิสตาร์ นิยายที่เต็มไปด้วยความสุขของคนเป็นติ่ง.. ช่วงที่เอิร์ธอยู่ในสภาวะหมดไฟ เธอเล่าสาเหตุหลักๆ มาจากความกลัวเป็นส่วนใหญ่ กลัวว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีพอ และต้องเจอกับความล้มเหลว ซึ่งเมื่อเกิดความกลัว สิ่งที่ตามมาก็คือความไม่มั่นใจ ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกว่า 'ต่อให้เราตั้งใจทำแค่ไหนก็คงไม่สำเร็จ พยายามแทบตายสุดท้ายก็ต้องผิดหวัง จึงทำให้รู้สึกหมดไฟที่จะทำสิ่งนั้นต่อ' โดยคำแนะนำจากประสบการณ์ของเอิร์ธ ก็คือ 'เราจะต้องเปลี่ยนมุมมองและวิธีการคิดใหม่' ลองคิดภาพตัวเองตอนยืนอยู่บนความสำเร็จ และลองเช็คตัวเองดูว่าโลกที่ไม่มีนิยายสำหรับเรามันเป็นอย่างไร เรามีความสุขไหม ถ้าไม่มีความสุข เราจะหาวิธีไหนเพื่ออยู่ในโลกใบนี้ต่อไป

"เอิร์ธนึกไม่ออกเลยว่าโลกที่ไม่มีนิยายเป็นอย่างไร เคยมีช่วงหนึ่งที่เอิร์ธหยุดเขียนไประยะหนึ่ง มันรู้สึกเลยว่าชีวิตเราเหมือนมีสิ่งสำคัญขาดหายไป การเขียนนิยายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เป็นโลกอีกใบที่เราได้โลดแล่นและเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ พอได้เห็นนิยายของเราสามารถสร้างความสุขให้คนอ่านอื่นๆ ด้วย เราก็ยิ่งรู้สึกว่าเราจะต้องมุ่งมั่นเขียนต่อไป และหยุดเขียนไม่ได้อีกแล้ว"

6. อย่าหยุดเขียน

นักเขียนหลายคนแม้แต่ เอิร์ธ ล.โลกลัลล้า ก็เชื่อว่า หากเรา 'ไม่หยุดเขียน' ผลของความพยายามจะแสดงให้เห็นในไม่ช้า เอิร์ธเชื่อว่าเวลา ความอดทน และความล้มเหลว คือ ส่วนประกอบของความสำเร็จ งานทุกอย่างต้องอาศัยเวลาเพื่อพิสูจน์ความพยายาม แม้จะมีนักเขียนบางคนได้รับการสนับสนุนจากนักอ่านตั้งแต่ครั้งแรกที่เขียนนิยาย แต่ก็มีนักเขียนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องลองผิดลองถูก พิสูจน์ฝีมือมายาวนานกว่าจะมีวันนี้ เพราะฉะนั้น อย่าพยายามเป็นอย่างคนอื่น เป็นตัวเองและพยายามกับการเขียนให้มากๆ เข้าไว้ เชื่อว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน 

"เอิร์ธเชื่อว่าไม่มีเทคนิคหรือสูตรความสำเร็จที่ตายตัว มีเพียงคำว่า “อย่าหยุดเขียน” เท่านั้น บางทีอาจต้องใช้เวลา บางทีอาจต้องใช้ความอดทน บางทีอาจต้องเผชิญความล้มเหลว แต่ขนาดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกหลายแห่งยังต้องก่อสร้างนับสิบปี หากเราจะสร้างงานเขียนที่สุดยอดขึ้นมา มันก็คงต้องใช้เวลาด้วยเหมือนกัน ซึ่งหากเรามุ่งมั่นเขียนต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เราก็ไม่เคยหยุดที่จะเขียน สักวันหนึ่ง งานเขียนนั้นต้องประสบความสำเร็จอย่างที่เรามุ่งหวังอย่างแน่นอน"

7. อย่าปล่อยให้คำวิจารณ์บั่นทอนกำลังใจ 

'กัญฉัตร' เป็นนักเขียนที่นักอ่านน่าจะรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เธอเขียนนิยายมานานมาก และมีประสบการณ์เกี่ยวกับงานเขียนมาเยอะพอสมควร พี่เลือกให้กัญฉัตรเป็นนักเขียนคนสุดท้ายเพราะว่าบทเรียนจากเธอ คือ สิ่งที่นักอ่านทุกคนต้องเผชิญกันอยู่แล้ว เธอมี 'ข้อคิด 5 อย่า' มาเป็นของฝากให้กับนักเขียนชาวเด็กดีทุกคน นั่นคือ อย่ากลัวการเริ่มต้น, อย่าอ้างว่าไม่มีเวลา, อย่าคิดไปเองว่าผลงานของตัวเองไม่ดี, อย่าปล่อยให้คำวิจารณ์มาปั่นทอนกำลังใจ และอย่าละทิ้งความฝันเป็นอันขาด โดยข้อคิดทั้งห้าข้อนี้ พี่คิดว่า 'คำวิจารณ์' คืออุปสรรคที่สำคัญที่สุดที่บั่นทอนกำลังใจของนักเขียน เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือข้อคิดที่พี่อยากให้ทุกคนได้ปรับมุมมอง และเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้มากขึ้น เพื่อนิยายของเรา และตัวเราเอง 

"อย่าปล่อยให้คำวิจารณ์มาบั่นทอนกำลังใจ อันนี้ตรงตัวเลยค่ะ พอผลงานอยู่กับเราก็คือลูกรัก แต่พอผลงานของเราไปเป็นหนึ่งในนิยายอีกหลายๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาที่จะมีคำวิจารณ์และการเปรียบเทียบ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกเก็บเอาแนวทางที่ควรปรับปรุงพัฒนา ละทิ้งคำวิจารณ์แง่ลบที่บั่นทอนกำลังใจและนำมาเป็นแรงผลักดันแทนดีกว่า"

พี่เชื่อในตัวนักอยากเขียนทุกคนค่ะ เชื่อว่าน้องๆ มีความฝันและมีพลังกาย พลังใจมากพอที่จะอดทน ฝ่าฟันกับอุปสรรคที่เจอได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทเรียนจากนักเขียนทั้งห้าคนนี้ จะช่วยให้น้องๆ มีกำลังใจต่อสู้กับอุปสรรค และมีโอกาสไม่วันใดก็วันหนึ่ง ได้พบปะพูดคุยกับพี่ในคอลัมน์ของเด็กดี เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังท้อนะคะ สู้ๆ 

 พี่แนนนี่เพน

Deep Sound แสดงความรู้สึก

พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Bot_00 Member 21 มิ.ย. 62 21:46 น. 3

งานเขียนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วจริงๆค่ะ แต่ทางบ้านไม่ค่อยสนับสนุน พวกเขาคิดว่างานเขียนไร้สาระและไม่จำเป็น ตอนนี้เริ่มท้อ เริ่มเหนื่อยจริงๆค่ะ

เกมที่เคยเล่นโดนด่าจนต้องลบทิ้ง คราวนี้ยังมาเป็นงานเขียนอีก...

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

5 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Bot_00 Member 21 มิ.ย. 62 21:46 น. 3

งานเขียนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วจริงๆค่ะ แต่ทางบ้านไม่ค่อยสนับสนุน พวกเขาคิดว่างานเขียนไร้สาระและไม่จำเป็น ตอนนี้เริ่มท้อ เริ่มเหนื่อยจริงๆค่ะ

เกมที่เคยเล่นโดนด่าจนต้องลบทิ้ง คราวนี้ยังมาเป็นงานเขียนอีก...

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด